911 Carrera 4 Evolution – Fantastic Four

911 Carrera 4 สี่เจนเนอเรชันที่เห็นเป็นของเจ้าของสองคนที่เป็นเพื่อนกัน เราลองขับพวกมันต่อกันจนครบเพื่อย้อนไปสัมผัสประวัติศาสตร์ของ Porsche ทีละยุค…

คุณจะชอบมันหรือไม่ก็ตาม แต่นักสะสม 911 ส่วนใหญ่ในทุกวันนี้ ก็มีเจตนาแอบแฝงที่จะกอบโกยกำไรจากรถของพวกเขากันทีเป็นโอ่งเป็นไหกันทั้งนั้น เรื่องที่น่าเศร้ากว่านั้นก็คือ ผลของเรื่องนี้ทำให้คนจำนวนมากไม่เคยแม้แต่จะขับรถของตัวเองด้วยซ้ำ แต่ก็โชคดีที่คอลเลกชันรถที่คุณกำลังเห็นอยู่นี้ ซึ่งเป็นของ Mark Luce และเพื่อนของเขา Mark Sherrington นั้นไม่ได้ซื้อมาเพื่อผลตอบแทนทางการเงิน แต่เป็นการรวบรวมพัฒนาการของ 911 เฉพาะ Carrera 4 หน้าตาเรียบง่ายเท่านั้น ทุกอย่างเริ่มต้นจากเพื่อนสองคนที่อยู่กันคนละซีกโลกที่ตัดสินใจว่าจะมาหาเรื่องสนุกทำกันจากความหลงใหลใน Porsche 911 ของทั้งคู่ อย่างที่ Mark Luce จากฝั่งอังกฤษได้อธิบายเอาไว้:

”Mark Sherrington เพื่อนของผมเป็นคนที่รัก Porsche มานานมาก เขาใช้ชีวิตอยู่ที่แอฟริกาใต้และตอนนี้ก็มี 997 Turbo อยู่ ส่วนผมซื้อ 924 Turbo เป็น Porsche คันแรกในปี 1985, เป็นเจ้าของ 3.2 Carrera Cabriolet คันเดิมมา 30 ปีแล้ว และก็ยังมี 991 GTS อยู่อีกคัน” คงพอจะเห็นแล้วใช่ไหมว่าทำไมเราถึงได้สนใจรถคอลเลกชันนี้

ทั้งสองคนมี Passion กับ Porsche อย่างไม่ต้องสงสัย แต่พวกเขามาลงเอยกับ 911 สี่คัน ที่มีความละม้ายคล้ายคลังตั้งแต่หน้าตา ระบบขับเคลื่อน ไปจนถึงโทนสีตัวถังได้ยังไงกัน?

“จริงๆ ยังมีรถคันที่ห้าของคอลเลกชันเราด้วย มันคือ 1989 3.2 Carrera แล้วก็สีเงินเหมือนกันอีกต่างหาก” Mark Luce ยิ้ม “หลังจากรถคันแรกเราก็ตัดสินใจกันว่าจะสร้างคอลเลกชันเล็กๆ ด้วยการตั้งต้นจาก 3.2 แล้วค่อยๆ ไล่ไปจนถึง 997 เราเรียกมันว่า Royal Flush” พอได้ 3.2 มาแล้ว คันต่อไปที่จะมาเข้าคู่กันก็คือ 993 “เราใช้เวลาหารถกันอยู่นาน เพราะมันจะต้องเป็นมาตรฐานเดียวกับรถของเราทุกคัน คือไมล์ต่ำสัก 3-4 หมื่น มีประวัติซ่อมที่ Porsche ครบถ้วน เกียร์ธรรมดา และต้องเป็นสีเงิน เราอยากจะให้สเปกรถของพวกเราใกล้เคียงกันมากที่สุดเท่าที่จะทำได้”

ถึงแม้ว่า Mark Sherrington จะอาศัยอยู่ที่ Capetown แต่เขาก็แวะมาที่อังกฤษแทบจะทุกครั้งที่ว่าง เพราะฉะนั้นคอลเลกชันรถจึงถูกตั้งใจจะให้อยู่ในความดูแลของ Mark Luce ในผืนแผ่นดินอังกฤษอยู่แล้ว และการค้นหารถก็เลยเจาะจงเฉพาะในอังกฤษเป็นหลัก

Mark Luce บอกว่า “เราซื้อ 993 มาจากเจ้าของเดิมใน Durham เขาเริ่มซื้อขาย Porsche ในช่วงที่มีเหตุการณ์ประท้วงของคนทำเหมือง และทำให้เขามี 911 เจ๋งๆ หลายคันตั้งแต่รุ่นปี 1970s ขึ้นมาจนถึง 991 R และ RS รุ่นล่าสุด เขาคุ้นเคยกับ 993 คันนี้ตั้งแต่อายุแค่หกเดือน แล้วก็ซื้อมาขายไปให้กับคนอีกหลายมือ ตอนนี้มันวิ่งไป 33,000 ไมล์แล้ว มีประวัติซ่อมบำรุงครบถ้วน มันสภาพเนี้ยบไม่มีตำหนิเลยสักตำแหน่งเดียว”

รถคันต่อมาในคอลเลกชันหาเจอง่ายกว่ากันอยู่หน่อย มันคือรถยุคใหม่ที่ใช้เครื่องระบายความร้อนด้วยน้ำอีกสองคัน

“996 กับ 997 หารถได้ง่ายกว่า” Mark Luce ยอมรับ “อย่าง 996 คันนี้เราได้มาจากศูนย์อิสระที่เชี่ยวชาญ Porsche ชื่อว่า Cridfords ส่วน 997 ก็ได้มาจากเจ้าของที่อยู่ Midlands”

จุดนี้ก็เห็นได้ชัดเลยว่าคอลเลกชันของพวกเขามันมีรูโบ๋อยู่ตรงกลาง ซึ่งก็คือ 964 ทีมจึงออกตามหารถตามสเปกเพื่อที่จะทำให้คอลเลกชันสมบูรณ์ แล้วพวกเขาก็เจอมันในเดือนกันยายน 2016

“เราหากันเหนื่อยและนานมากกว่าจะเจอ 964 ที่ราคาสมเหตุสมผล เราต้องการสีเงิน ซึ่งเป็นเฉดที่ต่างไปจากรุ่นอื่นนิดหน่อยเพราะว่า Porsche เปลี่ยนสีในช่วงปีเหล่านั้น มันผลิตในปี 1989 แต่เพิ่งจะเข้ามาอยู่ที่ Dublin ตอน 1999 และช่วงปีหลังๆ มานี้มันก็ถูกจอดเก็บไว้เฉยๆ ดังนั้นจึงมีงานที่ต้องบูรณะกันบ้าง มันเป็นรถคันนึงที่ Singer เคยเล็งเอาไว้ว่าจะใช้เป็นรถตั้งต้น…”

พอได้มาเรียบร้อย มันก็ถูกส่งไปที่สำนักงานใหญ่ Porsche GB ใน Reading เพื่อพูดคุยเรื่องแผนงานที่ไม่เหมือนทั่วไปที่ Mark Luce กำลังจะเล่าให้ฟัง

“Porsche ไม่เคยทำ 964 4S เพราะ 4S รุ่นแรกคือ 993 เราก็เลยบอกคนที่ Reading ไปว่าเราอยากให้พวกเขาสร้าง 964 4S ให้ ฉะนั้นมันจึงเป็นรถที่ Porsche ไม่เคยผลิตในตอนนู้น แต่จะมาผลิตในตอนนี้ พวกเขาถามถึงไอเดียการทำเป็นรุ่น Jubilee edition (964 Jahre) แต่นั่นมันก็เป็นแค่รถตัวถังไวด์บอดี้ เราต้องการรถที่เหมือนกับออกมาจาก Porsche ถ้าหากพวกเขาตัดสินใจทำมันในตอนนั้น”

ปัญหาของทีมงานที่ Reading ก็เหมือนกับพวกเรา คือพวกเขาต้องลองนั่งเดาเอาว่ารถจะมีหน้าตาอย่างไรถ้าพวกเขาสร้างมันในสมัยนั้น หลังจากที่พูดคุยถึงเรื่องงานวิศวกรรมระดับช้างที่พวกเขาจะต้องทำเพื่อจำลอง ‘964 4S’ ขึ้นมาแล้ว เหล่ากูรูที่ Reading ก็ลองเสนอทางเลือกซึ่งถูกกว่ากันมากมาให้แทน และมันอาจจะทำให้ราคาของรถเพิ่มขึ้นจนคุ้มเงินลงทุนเข้าสักวันก็เป็นได้ นั่นคือการทำ 964 กลับไปสู่สเปกออริจินัล ซึ่งทั้งสอง Mark ก็ชอบไอเดียนั้น

“ชาว Reading ทำสี 964 กันอย่างเต็มระบบโดยการขัดมันลงไปจนถึงเนื้อโลหะ” Mark Luce เล่าย้อนเหตุการณ์ “เราบอกว่าเราไม่อยากเปลี่ยนชิ้นส่วนอะไรที่ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยน เพราะว่าอยากเก็บความออริจินัลของมันไว้ให้มากที่สุด แค่ทำกลับไปให้เหมือนตอนมันป้ายแดงก็พอ พวกเขาใช้เวลาประมาณปีนึงแต่สุดท้ายก็เสร็จในเดือนพฤศจิกายน 2017”

ตอนนี้ 964 ก็ “เหมือนใหม่” ทุกกระเบียดนิ้วไปจนกระทั่งแผ่นป้ายทะเบียน ซึ่งทำออกมาเลียนแบบทะเบียนที่จะติดรถมาจากดีลเลอร์ AFN Guildford ในสมัยนั้น

“คนชอบถามเราว่าเป็นนักปั่นราคารึเปล่า แต่อันที่จริงแล้วเราเป็นสาวกและเป็นนักสะสม เราขับพวกมันทุกคันและไม่มีความคิดจะเก็บมันใส่กรุจอดไว้เฉยๆ ถ้าบังเอิญว่าเราขายได้ราคา ก็ว่ากันไปตามนั้น แต่ถ้ามันไม่ได้ก็คือไม่ได้…”

น่ายินดีที่คอลเลกชันรถนี้ไม่ใช่เพื่อการหากำไร แต่เป็นการได้เป็นส่วนนึงของประวัติศาสตร์ Porsche และหาความสุขจากรุ่นย่อยนึงของ 911 รถสี่จากห้าคันในคอลเลกชันจะถูกจอดเก็บไว้ในโรงจอด โดย Mark Luce จะเวียนเอาพวกมันออกมาขับในชีวิตประจำวันทีละคัน โดยมักจะขับคันนึงไปเที่ยวสุดสัปดาห์ และจะต้องมีอีกคันจอดไว้ที่บ้านใน Sussex เสมอ แต่พอ Mark ทั้งสองคนมาเจอกัน ความพิเศษบางอย่างก็กำลังจะเริ่มขึ้น

“Mark มาอังกฤษเมื่อสัก 6 สัปดาห์ก่อน และตอนนั้นเขาก็ยังไม่เคยขับ 964 เลยตั้งแต่มันทำเสร็จ” Mark บอก “เราขับ 964 กับ 993 ออกไปทานข้าวกลางวันที่ Goodwood และถนนแถวนั้นก็ยอดเยี่ยมไปเลย…” คุณผู้อ่านทั้งหลายนี่ล่ะคือจุดประสงค์หลักของการมีคอลเลกชันนี้

เพื่อสัมผัสประสบการณ์จาก 911 พวกนี้ด้วยตัวเอง เราเลยขอให้ Mark ส่งกุญแจพวกมันทีละคันตามรุ่นและอายุให้ Rob Richardson นักเขียน GTP ของเรา ถึงแม้ว่า Rob จะมี 911 ของตัวเอง (911 SC ของเขาก็ลงคอลัมน์นี้มาแล้ว) แต่เขาก็ยังไม่เคยขับ 911 เจนเนอเรชันพวกนี้ เราคิดว่าเขาน่าจะถ่ายทอดเรื่องราวความประทับใจหลังพวงมาลัยของรถในคอลเลกชันที่ไล่เรียงมาแต่ละรุ่นได้อย่างน่าหลงใหล และเราก็ไม่คิดผิด ตาคุณแล้ว Rob…

 

964

964 เป็นความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของ 911 มันเกิดขึ้นในตอนที่โลกกำลังเจอวิกฤติเศรษฐกิจ และบริษัทก็พบว่าแค่ชื่อกับโลโก้อย่างเดียวไม่สามารถขายของได้อย่างเดิม คำตอบของ Porsche คือการเอาเทคโนโลยีระดับสุดยอดจาก 959 ลงมาใส่ให้มัน จากนั้นก็ขยับเกมส์ของ 911 ให้เข้มข้นขึ้นด้วยการอัพเดทมาใช้คอยล์สปริงแทนทอร์ชันบาร์ พวงมาลัยพาวเวอร์ ระบบขับเคลื่อน AWD แบบกลไก และขยายความจุเครื่องยนต์ไปเป็น 3.6 ลิตร ทั้งหมดที่ว่ามาคือสิ่งที่นิยามรถรุ่นนี้ เทคโนโลยีอื่นๆ อย่างเช่นสปอยเลอร์หลังกางอัตโนมัติ ABS และ PDAS (Posrche Dynamische Allrad Steurung) ก็มีส่วนสำคัญเช่นเดียวกัน แต่ในวันแดดเปรี้ยงบนถนนใน Surrey แบบนี้ ผมไม่ได้มีแผนที่จะใช้การอุปกรณ์พวกนั้น

 

ประสบการณ์ที่คุณจะได้จากรถคันนี้คือการสัมผัสถึงระบบ AWD ของรถตลอดเวลา ตัวระบบเป็นแบบกลไกล้วน จ่ายพละกำลังไปเพลาหน้า 31% และเพลาหลัง 69% นั่นหมายถึงว่าเวลาที่คุณส่งเจ้า 3.6 ให้กระโจนออกไปจากแยกไฟแดง คุณจะได้ยินเสียงร้องจากยางสั้นๆ ก่อนที่รถจะดีดตัวพุ่งไปตามระนาบถนนที่อยู่ด้านหน้า มันคือ Carrera ที่สามารถรับมือกับพละกำลังของมันได้อยู่หมัดด้วยแรงส่งและแรงยึดเกาะมหาศาลในตอนออกจากโค้ง ระบบนี้ขึ้นชื่อเสียงเวลาอยู่บนถนนเปียกหรือแม้แต่บนหิมะกับน้ำแข็ง และผมก็เชื่อเรื่องนั้นอย่างสนิทใจเลยทีเดียว รถของ Mark ยังแน่นกริ๊บ เพราะมันก็คือรถใหม่ที่ผ่านการบูรณะโดย Porsche Centre Reading และตั้งแต่นั้นมาเขาก็ยังไม่ได้ขับมันสักเท่าไหร่ มันเหมือนการย้อนเวลาให้ผมได้สัมผัสรถคันนี้เฉกเช่นวินาทีที่มันขับออกจากดีลเลอร์ในปี ’89 มันรู้สึกพิเศษ จังหวะเปลี่ยนเกียร์ต้องออกแรงและโยกกันยาวด้วยความที่บุชยางต่างๆ แน่นปั๋ง แต่มันก็เป็นความรู้สึกที่ใช่และเป็นส่วนหลักของประสบการณ์กับรถคันนี้ แป้นเบรกก็ให้ความรู้สึกหนักแน่นแบบเดียวกัน นี่เป็นอย่างนึงที่ผมชอบมากในตอนที่ขับ 930 รุ่นก่อน และแป้นเหยียบก็สามารถกะแรงเบรกได้อย่างสวยงาม ภายในให้ความรู้สึกโมเดิร์น (สำหรับปี 1989) ด้วยศาสตร์การจัดเรียงแบบคลาสสิคของ 911 แต่วัสดุต่างๆ และความสะดวกสบายถูกยกระดับขึ้นไปจากรุ่นก่อนหน้า รถให้ความรู้สึกกะทัดรัดและตื่นตัว แต่ไม่ได้ดีดดิ้นเหมือน 930 รุ่นพี่ เวลาอัดหนักๆ จะมีการเอียงตัวให้สัมผัสบ้างและตัวรถก็ถูกเซ็ทมากระเดียดไปทางอันเดอร์สเตียร์ มันจึงรู้สึกมั่นใจและปลอดภัย ขับสบายเวลาอยู่บนถนน แต่นี่ไม่ใช่ว่าผมติมันนะครับ มันไม่ใช่รถสปอร์ตจอมล่า Apex แบบที่คุณอาจจะคาดหวังกับ 911 แต่ในชีวิตจริงแล้ว มันเป็นรถที่ขับได้อย่างหนักแน่นและสร้างมาอย่างแข็งแรงจนทำให้คุณรู้สึกอยากจะขับมันอยู่ตลอดเวลา คุณสามารถขับมันทีละไกลๆ ก็ได้ เพราะบุคลิกมันเอนไปทาง GT มากกว่า 911 ที่เป็นรถสปอร์ต

และนั่นก็คือสิ่งที่คุณต้องการเวลาสั่งรุ่นที่มีเลข “4” ต่อท้าย ซึ่งคือศักยภาพในชีวิตจริงบนถนนในทุกสถานการณ์

 

993

จากนั้นผมก็กระโดดมาขึ้น 993 นี่คือครั้งแรกของผม และต้องบอกเลยว่าผมคาดหวังกับมันเอาไว้มาก ด้วยชื่อเสียงที่ถูกยกย่องให้เป็นสุดยอดของ 911 ยุคระบายความร้อนด้วยอากาศ และการที่มันเป็นบทสรุปของสูตรขั้นเทพที่ Porsche บ่มเพาะมาหลายทศวรรษ ผมถูกใจสไตล์การออกแบบมันก่อนเลย จะเรียกว่ารักเลยก็ยังได้ ดีไซน์เป็นผลงานจากปลายปากกาของ Tony Hatter ชาวอังกฤษ และมันก็ดูหล่อเหลาเอาการมาก มันใส่ล้อโต (สำหรับยุคนั้น) 18” คาลิปเปอร์สีแดงกับจานเบรกที่ใหญ่เต็มขนาดล้อ บ่งบอกว่ามันเอาจริงเอาจัง เช่นเดียวกับช่อง ครีบ และสกูปรับอากาศเย็นกับระบายอากาศร้อนที่วางอยู่เต็มคัน แล้วผมก็ชอบที่มันมีกลิ่นอายของ 959 อยู่ด้วย ภายในของ 993 สวยงามด้วยเบาะสปอร์ตหุ้มหนังสีน้ำเงิน Navy เดินตะเข็บทุกจุด แล้วก็เช่นเคยที่ทุกอย่างถูกจัดวางอย่างถูกตรรกะและอยู่ในระยะมือเอื้อมถึง ความหรูหราถูกขยับขึ้นมาอีกขั้นจาก 964 และผมชอบภายในของคันนี้มากที่สุดในบรรดาทั้งสี่คัน มันผสมฟังก์ชันการใช้งานกับความละเอียดอ่อนไว้ได้ลงตัว โดยไม่ต้องมีปุ่มกับหน้าจอยุบยับแบบรถรุ่นหลังๆ

เครื่องยนต์ยังเป็นขนาด 3.6 ลิตร แต่ทั้งโดนขุน ขัดเกลา และลับให้เฉียบคมขึ้นด้วยระบบ VarioRam ซึ่งกลายมาเป็นบุคลิกประจำเครื่องยนต์รุ่นนี้ แค่ขับธรรมดาไปรอบๆ เมือง คุณก็สัมผัสถึงการทำงานของระบบที่พยายามรีดแรงบิดสูงสุดออกมาตลอดเวลาได้แล้ว มันจะเริ่มทำงานเมื่อรอบไต่สูงขึ้น โดยการปรับวาล์วในท่อไอดีเพื่อปรับเปลี่ยนความยาวของท่อ ทำให้เสียงของมันก้าวร้าวพร้อมกับอาการกระตือรือร้นที่จะวิ่งไปหารอบสูง จนคุณอยากจะแช่คันเร่งจมมิดเอาไว้อย่างนั้น กดคันเร่งต่อไปแล้วจะเห็นว่าระบบทำงานได้ลื่นไหลจนเสพติด รอบตวัดขึ้นอย่างรวดเร็ว เสียงคำรามที่ออกจะเงียบเมื่อเทียบกับรถรุ่นอื่นแต่ก็สามารถทำให้คุณตื่นตัวได้ นี่คือเครื่องยนต์ที่พิเศษมากๆ

ถ้านิยามของการขับ 964 คือ AWD 993 มันดูเหมือนจะซ่อนเรื่องนั้นเอาไว้และให้ประสบการณ์ขับแบบ ‘Carrera 2’ มากกว่าแทน Porsche เปลี่ยนเฟืองส่งกำลัง Central differential มาเป็นแบบ Viscous coupling ที่เรียบง่ายกว่า ซึ่งในสภาวะปกติจะส่งกำลังไปที่ล้อหลังถึง 95% แต่พอแผ่นคลัทช์ในชุดเฟืองส่งกำลังเริ่มลื่นไถล ซิลิโคนเหลวจะแปรสภาพกลายเป็นของแข็งเพื่อให้กำลังที่ถูกส่งไปหาล้อหน้าได้ นั่นไม่ใช่เรื่องเดียวที่ 993 เปลี่ยนแปลง เพราะมันยังเอาช่วงล่างหลังมัลติลิงค์แบบใหม่มาใช้เพื่อให้ช่วงล่างนุ่มนวลขึ้น และช่วยให้สามารถเบรกหรือเติมคันเร่งตอนอยู่กลางโค้งขณะเข้าใกล้ขีดจำกัดได้สบาย ผลลัพธ์ที่ได้คือ 911 ที่รู้สึกสมดุลอย่างงดงาม ในขณะที่ 964 จะนุ่มนวลกว่าและมีบุคลิกที่เซ็ทไปทางอันเดอร์สเตียร์ แต่ 993 ไม่ใช่แบบนั้น บุคลิกของรถสามารถคุมได้ด้วยคันเร่ง ซึ่งทำให้การขับมันไปตามถนนชนบทเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นตลอดทาง ช่วงล่างที่แข็งขึ้นก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกลำบากลำบนอะไร เพราะมันช่วยเพิ่มความมั่นใจและการสื่อสารกับรถได้ดีจนน่าทึ่งทั้งๆ ที่มันใช้ล้อ 18 นิ้ว และยางแก้มบาง พวงมาลัยของมันดูเฉื่อยอยู่บ้างที่ความเร็วต่ำ แต่จะกลายเป็นหนักแน่นเมื่อความเร็วสูงขึ้น แถมยังรับรู้ได้ด้วยว่ายางกำลังบอกอะไรกับคุณอยู่ คุณอาจจะสงสัยว่าคนขับมีส่วนร่วมมากขนาดนี้ มันไม่เยอะเกินไปจนเหนื่อยเหรอ? ไม่เลยครับ 911 รุ่นนี้มีทั้งความสะดวกสบาย อเนกประสงค์ในการ แล้วก็ถูกขัดเกลามาจนขับทุกวันได้ เชื่อเหอะว่าผมยังอยากทำแบบนั้นเลย!

996

ผมไม่ได้คิดจะชอบไอ้รถคันนี้เลยในทีแรก เพราะผมคิดว่าหลังจากขับ 964 กับ 993 มาแล้ว เจ้านี่คงจะรู้สึกใหญ่ อ้วน ไม่ดิบ และเหมือนมีอะไรมาปิดกั้นประสบการณ์ขับที่แท้จริงแน่ๆ แต่ด้วยจรรยาบรรณนักข่าว ผมเลยคิดว่าจะเดินเข้าไปหามันแบบเปิดใจและตัดอคติทิ้งไปให้หมด แต่ปรากฏว่าผมก็ทำไม่ได้และพบว่าตัวเองคิดผิดมหันต์ ทันทีที่รถวิ่งออกไปผมก็รู้สึกได้ถึงความแม่นยำและการควบคุมที่ลื่นไหลและเบามือ พวงมาลัยส่งข้อมูลกลับมาให้คุณมหาศาล ขยับออกจากตำแหน่งตั้งตรงนิดเดียวก็จะพบว่ามันส่งความรู้สึกกลับมาได้ดีที่สุดเท่าที่ผมเคยพบมา มันคมกริบราวกับมีดผ่าตัด และทำให้รถขับได้คล่องมาก ตัวเลขไม่สามารถโกหกได้ว่ามันเป็นรถที่ใหญ่และหนักกว่ารุ่นเดิม

แต่เครื่องยนต์ การถ่ายทอดแรงบิด และการส่งพละกำลังที่คมกริบราวกับใบมีดโกนอำพรางเรื่องนั้นไว้จนมิด ชิ้นส่วนที่กำลังหมุนของเครื่องยนต์ที่ตอนนี้เป็นหกสูบระบายความร้อนด้วยน้ำให้ความรู้สึกเหมือนเครื่องรถแข่ง ไม่มีอาการเฉื่อยให้สัมผัส การตอบสนองเป็นในแบบทันที แล้วมันก็เร็ว เร็วอย่างสาแก่ใจเลยด้วย ท่อไอเสียสปอร์ตที่ใส่มาในรถคันนี้ทำให้ได้เสียงโน้ตก้าวร้าวแบบที่คุ้นเคยของ 911 ที่จะดังขึ้นตามรอบที่ไต่สูงขึ้น และมันก็ช่วยเพิ่มประสบการณ์ให้เข้มข้นขึ้นไปอีกระดับ เกียร์ดัดแปลงมาจากรถระบายความร้อนด้วยอากาศ อัตราทดทั้งหกเกียร์มีการคำนวณมาอย่างดี ทำให้คุณมีเกียร์ที่เหมาะแก่การรีดพลังจากเครื่องได้ทุกเวลา จังหวะสับสั้น กระชับ ลื่นไหล และถ่วงน้ำหนักมาอย่างดีงาม ไม่มีจังหวะโยกเกียร์ยาวๆ ที่รู้สึกหยึยเหมือนกับ 964 ให้พบอีกแล้ว เบรกก็ยอดเยี่ยมเช่นเดียวกัน ความรู้สึกของแป้นและการควบคุมแรงเบรกดี ส่วนตำแหน่งของแป้นก็เหมาะต่อการทำ Heel and toe มาก การเปลี่ยนจาก 964 มาเป็น 993 คือวิวัฒนาการ แต่สิ่งที่มันเป็นควรเรียกว่าปฏิวัติจะถูกต้องกว่า กระนั้นก็ใช่ว่าการปฏิวัติจะดีไปเสียหมดทุกอย่าง อย่างสไตล์ตัวถังของ 996 ถึงแม้จะดูไม่ตกยุคไปตามกาลเวลา แต่ก็ยังคงตกเป็นที่ถกเถียงกันมาจนถึงทุกวันนี้ รุ่น 4S ที่มีซุ้มล้อตีโป่งกับล้อ 18” คือรุ่นที่หน้าตาดีที่สุดแล้ว ผมเป็นแฟนตัวเป้งของแผงทับทิมคาดท้ายรถระหว่างไฟท้ายทั้งสองฝั่ง เพราะมันเหมือนกับการก้มหัวเคารพรถในยุคกันชนดูดซับแรงกระแทก ซึ่งกระแสก็เริ่มกลับมาใหม่แล้วในตอนนี้ ส่วนตัวผมยังตกหลุมรักดีไซน์ทั้งคันของมันไม่ลง แต่มันค่อยๆ เข้าตาผมมากขึ้นทีละนิด แต่ภายในนี่ตรงกันข้ามเลย มันดู “หลุดยุค” ขั้นสุด (ในแบบที่ไม่ดี) คันนี้ทุกอย่างยังใหม่เอี่ยมและใช้การได้ดี แต่มันไม่ได้รู้สึก “พิเศษ” มากพอสมกับฐานะการเป็นรถสปอร์ตชั้นสูง แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่แคร์เลยสักนิดเมื่อแลกกับความรู้สึกเวลาขับมัน ซึ่งเปลี่ยนความเห็นผมกับ 996 ไปตลอดกาล ผมยกโทษให้มันหมดทุกอย่างนั่นแหละ

997 

997 เป็นรถที่ทันสมัยที่สุดในทั้งสี่คันแต่มันก็ยังมีอายุถึง 10 ปีแล้ว สไตล์ตัวถังย้อนกลับไปหา 911 คลาสสิคด้วยไฟหน้าดวงกลมและมีกลิ่นอายของ 993 อยู่ด้วย และทุกวันนี้มันก็ยังดูทันสมัยอยู่ ถ้าจะให้พูดถึงรถคันนี้ ผมก็จะบอกว่ามันคือ 996 ถ่ายเอกสารแล้วปรับทุกอย่างให้เจ๋งขึ้น 10% มันคือการเอา 996 มันลับให้คมกริบกว่าเดิม แรงบิดมาเต็มกราฟกว่าเดิม รอบเร่งได้อย่างอิสระกว่า และเมื่ออยู่บนถนนในชีวิตจริง มันก็พุ่งจากจุดไปถึงจุดได้ไวราวกับขีปนาวุธ

มันเป็นรถที่ให้อารมณ์และความมั่นใจเต็มเปี่ยม ทั้งๆ ที่เป็นรถคันใหญ่ที่สุดที่นี่ แต่ก็ยังรู้สึกว่ามันย่อส่วนลงมาอยู่รอบตัวคุณได้แบบ 911 ทุกรุ่น ผมสามารถพูดถึงระบบ AWD ของทั้ง 996 กับ 997 ไว้ตรงนี้พร้อมกันได้เลยว่า มันแทบไม่รู้สึกว่ามีระบบอยู่ ทั้งสองคันกระจายแรงขับไปหาล้อหน้าได้ตั้งแต่ 5-35% ผ่านเฟืองส่งกำลัง viscous coupling ได้อย่างแนบเนียน ถ้าเป็นตอนถนนเปียกหรือพื้นเหลวอาจจะเป็นคนละเรื่อง แต่ในวันที่ร้อนแห้งบนถนนใน Surrey แบบนี้ ประสบการณ์ขับส่งมาถึงคุณแบบเต็มเปี่ยม แรงยึดเกาะจากกลไกต่างๆ ของรถเอาอยู่แบบไม่ต้องใช้ตัวช่วย มันเป็นข้อดีที่ช่วยให้คุณมั่นใจว่ามีระบบรอช่วยเหลืออยู่ในยามที่ต้องการ แต่วันอากาศแจ่มใสแบบนี้ มันก็เข้าใกล้ประสบการณ์สดและดิบแบบ Carrera 2 ได้อย่างที่สุด

ภายในของ 997 มีจุดเด่นที่ลูกเล่นเทคโนโลยี ทั้งหน้าจอระบบนำทาง ปุ่มควบคุมยุบยับสำหรับสารพัดระบบที่คุณอาจจะอยากให้มี แต่ไม่จำเป็นต้องมีก็ได้ สักวันนึงผมก็คงจะรู้สึกโอเคกับอะไรแบบนี้มากขึ้น เพราะรถยุคใหม่ก็เป็นแบบนี้หมด… แต่การที่เพิ่งลงมาจากความเรียบง่ายของ 964 ก็ทำให้รู้สึกแออัดอยู่บ้าง ผมจะไปต่อว่าก็คงไม่ได้หรอกครับ เพราะมันก็ตรงยุคเหมือนสมัย 964 นั่นแหละ

สิ่งเดียวที่มันด้อยกว่า 996 ก็คือความรู้สึกของพวงมาลัยในตำแหน่งเยื้องศูนย์ ผมคิดว่าในชีวิตจริงคุณคงจะไม่รู้สึก เพราะนี่มันก็ยอดเยี่ยมมากแล้ว แต่การกระโดดจากรถคันนึงมาขึ้นอีกคันจะรู้สึกถึงความแตกต่างได้ชัดเจน แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่พอที่จะมาตัดสินรถรุ่นนี้ ผมจู้จี้เรื่องคุณสมบัติของรถมากกว่าความสามารถในฐานะนักขับของตัวผมเองซะอีก ด้วยราคาของ 997 ที่ยังคงสูงในขณะที่ 996 มีราคาคุ้มค่า คุณคงจะต้องเกลียดไฟหน้ารูปไข่ดาวหรือมีทักษะบังคับพวงมาลัยผ่านกระแสจิตที่ทำให้รู้สึกหงุดหงิดกับพวงมาลัยที่ตำแหน่งเยื้องศูนย์ไปสัก 2-3 องศา ถึงจะเมิน 996 ลง การเปลี่ยนจาก 996 มาเป็น 997 เรียกได้ว่าเป็นการปฏิวัติอีกครั้ง และ 997 ก็เป็นการปฏิวัติครั้งใหญ่ของ 911

[KELLY: Conclusion but don’t sub head it as such please]

การได้ขับ 911 Carrera 4 ที่พาดผ่านเวลาถึง 40 ปี ทำให้ผมรู้สึกทึ่ง (และก็รู้สึกเป็นเกียรติมากด้วย…ขอบคุณอีกทีครับ Mark) การสืบทอดจากรุ่นต่อรุ่นนั้นชัดเจน ทั้งเสียงปิดประตู การจัดวางตำแหน่งอุปกรณ์ เสียงเครื่องยนต์ ความรู้สึกที่รถหดลงมาเหลือรอบตัวคุณ และความรู้สึกโดยรวมถึงความสัมพันธ์ทางสายเลือด ถ้าการเปลี่ยนจาก 964 มา 993 คือการก้าวกระโดด จาก 993 มา 996 คงจะเรียกได้ว่าภารกิจไปดาวอังคาร รถทุกคันในคอลเลกชันมีความโดดเด่นในแบบของมันเอง พอจบวัน Mark ก็ถามว่าผมจะเลือกรุ่นไหนขับกลับบ้าน (สมมติเฉยๆ น่ะ…ให้ตายสิ) เหตุการณ์หลังจากนั้นคือการเถียงกันระหว่างสมองกับหัวใจอย่างทรมานอยู่นานสองนาน ถ้ามันจะเป็นรถเพียงคันเดียว ก็ควรจะต้องเป็น 996 ใช่ไหมล่ะ?… มันทำได้ดีในทุกข้อและยังให้ความรู้สึกอะนาล็อกพอจะทำให้ทุกวินาทีดูพิเศษ แต่ถ้าอย่างนั้นทำไมไม่เก็บข้อดีทุกอย่างไว้แล้วบวกเพิ่มไปอีก 10% พร้อมกับสไตล์ตัวถังแบบ 911 คลาสสิคอย่าง 997 ล่ะ? ถ้าเป็นรถขับวันหยุดก็คงจะต้องเป็น 993 แต่อย่างนั้น 964 กับระบบ AWD กลไกและความรู้สึกทางกายภาพที่ต่างกับรถรุ่นใหม่อย่างสุดขั้ว แล้วทำให้เสาร์อาทิตย์มันสุดเหวี่ยงไปเลยจะไม่ดีกว่าหรือ?…ถ้าผมสามารถมีสองคันสำหรับวันธรรมดากับวันหยุดได้ มันก็คงจะเป็น 997 สำหรับใช้งานกับ 964 สำหรับขับเล่น…

ผมสงสัยว่า Mark Luce จะชอบคันไหนมากที่สุด “ในแง่ของประสบการณ์ Porsche 911 แบบบริสุทธิ์ และสิ่งที่ Porsche ควรจะเป็น 993 คือรถที่ผมชอบที่สุด” เขาตอบ “996 กับ 997 ขับง่ายกว่า แต่ 993 นี่ล่ะคือตัวเลือกของสาวกตัวจริง”

โอเค โอเค ผมรู้ว่ามันถึงตาผมแล้ว ผมวนมาจนครบรอบและถูกกดดันให้ต้องเลือกรถคันที่โดดเด่นมากที่สุดแล้ว และรถคันที่ผมจะคว้ากุญแจกลับบ้านเป็นคันแรกก็คือ 993 มันคือเทพของ 911 ทั้งระบายความร้อนด้วยอากาศ พัฒนามาจนยอดเยี่ยม และเกิดมาในยุคที่วัสดุกับเทคโนโลยีทุกอย่างถูกสร้างมาด้วยจุดประสงค์เดียวคือสมรรถนะ กฎระเบียบความปลอดภัยกับมลพิษยังไม่เข้มงวด จนทำให้รถซับซ้อนกับหนักจนเกินจำเป็น มันเป็นรถแรงที่ขับได้ทุกวันซึ่งรู้สึกพิเศษสุดๆ ได้ตั้งแต่วินาทีที่คุณเห็นมัน แล้วต่อจากนั้นก็ให้ประสบการณ์ขับที่ทำให้หัวใจคุณพองโตในแบบที่คุณอยากจะได้จาก 911

_
เรื่อง: Rob Richardson, Simon Jackson
ภาพ:  Malcolm Griffiths
เรียบเรียง: Thanapol Ratanaboon

นิตยสาร GTPORSCHE ฉบับภาษาไทย

Share

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *