911S – REACH FOR THE SKY

911 S ที่พร้อมสำหรับการเดินทางท่องเที่ยวคันนี้ถูกบรรจงชุบชีวิตขึ้นใหม่ โดยผู้ที่เป็นเจ้าของมาตั้งแต่ยังเป็นรถใหม่ป้ายแดงจนถึงปัจจุบัน เป็นฮีโร่ของวงการมอเตอร์สปอร์ตและร่มร่อนของแอฟริกาใต้

เรื่อง Johann Venter/Dan Furr ภาพ Michael Schmucker

911S

Jacques Boulilliart เกิดที่เมือง Trazegnies ประเทศเบลเยี่ยมในปี 1936 วัยเยาว์ของเขาเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขแต่แล้วความสุขของเขาก็มีอันต้องสิ้นสุดลงอย่างรวดเร็วเมื่อกองทัพเยอรมันบุกเข้ายึดครองบ้านเกิดของเขาในปี 1940 ตลอดช่วงระยะเวลาการเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 พ่อของเขาส่งเขาไปหลบซ่อนตัวอยู่ในที่ปลอดภัยและไม่มีโอกาสได้กลับบ้านเลยจนสงครามยุติลงในปี 1945 ความทรงจำในช่วงเวลาที่เลวร้ายนั้นเป็นแรงกระตุ้นให้เขามุ่งมั่นไขว่คว้าหาสิ่งที่ดีที่สุดทั้งในเวลาทำงานและเวลาพักผ่อนให้กับเขาและครอบครัวของเขาในเวลาต่อมา

ขณะที่กำลังศึกษาอยู่เขาได้ทำงานพาร์ทไทม์อยู่ที่ศูนย์บริการรถยนต์ Lancia แห่งหนึ่งช่วงเวลานั้นเองที่เขาได้ตั้งปณิธานไว้ในใจว่าเขาจะเก็บหอมรอบริบไว้เพื่อเป็นเจ้าของรถยนต์ใหม่ป้ายแดงให้ได้โดยที่เขาไม่ได้คิดคำนึงถึงในเรื่องที่เกี่ยวกับการเงินเลยว่าเป็นเรื่องที่ยากลำบากอย่างมากที่จะทำให้ความฝันในช่วงเวลานั้นของเขาเกิดขึ้นได้จริงเพราะรถยนต์ใหม่ป้ายแดงที่เขาหมายมั่นปั้นมือจะเป็นเจ้าของให้ได้มันคือ Porsche อย่างไรก็ตามความฝันของเขาก็สำเร็จขึ้นได้จริงในวันครบรอบวันเกิดปีที่ 35 ของเขา กุญแจรถ Porsche ใหม่เอี่ยมอยู่ในกำมือของเขาแล้วเป็นสิ่งตอบแทนหลังจากที่เขาทำงานอย่างหนักเพื่อเก็บเงินให้เพียงพอกับการทำให้ความฝันสูงสุดของเขาเกิดขึ้นจริง

ในปี 1967 การจะได้เห็นรถ Porsche 911 วิ่งอยู่บนท้องถนนเป็นเรื่องที่ต้องอยู่ถูกที่ถูกเวลาจริง แต่ Jacques ไม่ได้ใส่ใจเขาตัดสินใจเป็นเจ้าของ Porsche 911S คันแรกที่นำออกจำหน่ายในประเทศเบลเยี่ยมโดยซื้อจาก D’leteren ตัวแทนจำหน่าย Volkswagen ที่ตั้งอยู่ในกรุงบรัสเซลส์ ในตอนนั้น Jacques ทำงานเป็นวิศวกรเครื่องกลอยู่ในอุตสาหกรรมการผลิตเครื่องทำความร้อนและเครื่องกำเนิดไอน้ำและหน้าที่การงานของเขาทำให้เขาต้องเดินทางไปทั่วโลกเพื่อพบกับลูกค้าซึ่งเป็นโอกาสอันดีที่ทำให้เขาได้พบเจอกับประสบการณ์ต่าง  ที่แตกต่างกันไปทั้งในด้านของผู้คน, ภาษา, ประเพณีวัฒนธรรม, ดินฟ้าอากาศ ฯลฯ จนกระทั่งมาวันหนึ่งเจ้านายของเขาถามว่าหากจะให้ Jacques ไปบริหารจัดการกิจการสาขาในต่างแดนสักที่หนึ่งเขาจะเลือกที่ไหนระหว่างอเมริกาใต้, ออสเตรเลียหรือแอฟริกาใต้และแอฟริกาใต้เป็นคำตอบที่เขาให้กับเจ้านายของเขาโดยไม่มีการลังเลใจแต่อย่างใดเพราะเขาเคยเดินทางไปแอฟริกาใต้มาแล้วไม่น้อยกว่า 20 ครั้งเขาชอบอากาศของที่นี่รวมถึงการที่เขามีเพื่อนฝูงอยู่มากมายที่นี่อีกด้วย เมื่อเจ้านายตกลง Jacques จัดการที่จะส่ง 911S ของเขาลงเรือไปที่บ้านใหม่ของเขาที่แอฟริกาใต้ แต่ก่อนที่จะถึงเวลาเดินทาง Jacques ยังคงขับ 911S ของเขาไปตามถนนสายต่าง กลางกรุงบรัสเซลส์จนสุดท้ายไปจบอยู่ที่รั้วกำแพงเพื่อนบ้านของเขาในสภาพที่บั้นท้ายรถไม่น่าดูเท่าใดนัก

SPREAD YOUR WINGS

จากการที่ต้องใช้เวลาเดินทางไปทั่วโลกและการใช้ชีวิตบางช่วงเวลาอยู่กับ Porsche ที่ให้ประสบการณ์ความตื่นเต้นเร้าใจมาเป็นเวลานาน การเล่นร่มร่อนเป็นกีฬาที่เป็นงานอดิเรกอีกอย่างหนึ่งของ Jaques ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นกิจกรรมที่เขาให้ความสนใจมากกว่า 911 คันโปรดของเขาเสียอีกโดยเฉพาะในช่วงเวลาที่เขาใช้มันเดินทางไปยังกระท่อมพักผ่อนที่เขาเช่าไว้จาก George Lindsay (หนึ่งในผู้แทนจำหน่าย Volkswagen ในประเทศแอฟริกาใต้และผู้ก่อตั้ง Porsche Concessionaire,  Lindsay Sacker) ขณะที่เจ้าของ Mini Classic ของ Jacques เป็นนักแข่งรถที่ใช้ VW Beetle ในการแข่งขันได้กลายเป็นแชมป์ร่มร่อนและนักบินแสดงโชว์  Nick Turvey

Nick เข้าเป็นนักบินในกองทัพอากาศแอฟริกาใต้ในปี 1955 ต่อมาได้เป็นหัวผู้ฝึกสอนของ Johannesburg Light Plane Club ได้รับรางวัล Springbox Colours สำหรับการเล่นร่มร่อนในปี 1965 ต่อมา Nick ได้รู้จักกับ Jacques และเป็นผู้สอน Jacques ให้ได้สัมผัสกับโลกของร่มร่อน และเวลาไม่นานทั้งคู่ได้เป็นตัวแทนของประเทศแอฟริกาใต้เข้าร่วมการแข่งขัน World Aerobatic Championship ที่จัดขึ้นที่เมืองบิลเบา ประเทศสเปน โดยที่ Nick ชนะการแข่งขันถึง 8 รอบ

ด้วยกำลังใจและความเชี่ยวชาญที่ได้รับการถ่ายทอดจาก Nick ทำให้ Jacques ตั้งใจว่าจะทุ่มเทให้กับร่มร่อนมากขึ้นในทศวรรษใหม่ที่กำลังจะมาถึง โดยก่อนจะถึงช่วงเวลานั้นเขายังคงหาความสุขความเพลิดเพลินไปกับ 911 S คันเดิมที่ได้รับการปรับปรุงซ่อมแซมเรียบร้อยแล้วไปก่อนแต่ในอีกรูปแบบการขับขี่ที่ไม่เหมือนกับที่เคยขับขี่เมื่อยังอยู่ที่บรัสเซลส์ เขาใช้ 911 S คันนี้จนถึงเวลาที่ต้องเกษียณ 911 S ออกไปจากท้องถนนและปล่อยอยู่ในสภาพที่ถูกปล่อยให้ผุพังไปตามสภาพอากาศและเวลา

ในปี 1985 Anthony ลูกชายของ Jacques บอกว่าพ่อของเขาคิดถึง 911S ที่เขาเคยหลงใหลมาก่อนจึงคิดจะทำบางสิ่งบางอย่าง แต่โชคไม่ดีที่ 911 S อยู่ในสภาพที่เสียหายอย่างมาก มีน้ำอยู่มากมายในคาร์บูเรเต้อร์ ภายในห้องโดยสารชำรุดทรุดโทรมจนเกิดจะบูรณะฟื้นฟูขึ้นใหม่ด้วยตัวเอง ทำให้พ่อของเขาตัดสินใจส่งรถคันนี้ไปยัง Carrera Motors ใน Gauteng ที่มีความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษกับรถยนต์ Porsche

มูลเหตุสำคัญที่ทำให้ Jacques ตัดสินใจที่จะฟื้นชีวิตให้กับ Porsche 911 S ของเขาคือการจัดการแข่งขันวิ่งสลาลอมโดย Rosslyn contingent of Porsche Club of South Africa โดย Jacques ต้องการที่จะใช้ทักษะประสบการณ์บนท้องฟ้านำมาพลิกแพลงใช้กับการแข่งขันภาคพื้นดิน กลับมาที่ Carrera Motors ผู้จัดการของที่นี่ Frans Stangl จัดการสั่งให้รื้อเครื่องยนต์และประกอบขึ้นใหม่เช่นเดียวกับการใช้คาร์บูเรเต้อร์ Weber 40IDS เปลี่ยนระบบไอเสียใหม่เพื่อให้เครื่องยนต์ 6 สูบนอนมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นอีกทั้งยังมีการติดตั้งเหล็กกันโคลงที่มีความหนาขึ้นพร้อมเปลี่ยนใช้โช้คอัพของ Bilstien ซึ่ง Anthony บอกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นยอดเยี่ยมมาก Carrera Motors ทำงานได้อย่างยอดเยี่ยม 911S กลายเป็นรถยนต์สมรรถนะสูงอีกครั้งหนึ่งทำเวลาได้เร็วกว่ารถยนต์รุ่นใหม่ เสียด้วยซ้ำ มันยอดเยี่ยมจริงๆ

ประสบการณ์และทักษะความรู้จากการเล่นร่มร่อนของ Jacques เป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบที่นำมาซึ่งความสำเร็จที่เยี่ยมยอดนี้คู่แข่งขันตั้งชื่อให้กับ 911 S ของเราว่า ‘granny’ เพราะความมีอายุของรถนั่นเอง แต่แล้วเสียงของพวกเขาก็เงียบไปเมื่อรถของพวกเขาที่ใหม่กว่าเป็นฝ่ายต้องตามท้ายรถแข่งของเราเข้าเส้นชัยไป” Anthony บอกพร้อมเสียงหัวเราะอยู่ในลำคอ 911S คันนี้ยังได้ไปรวมการแข่งขันในอีกมากมายหลายรายการรวมถึงการถูกนำไปแสดงเป็นพิเศษในระหว่างการแข่งขันรายการ 1991 Porsche Challenge ที่สนามแข่ง Midvaal Raceway

ความหลงใหลในเรื่องของการแข่งขันความเร็วถูกถ่ายทอดลงมายังลูก ของ Jacques ด้วยเช่นกัน ทั้ง Anthony และน้องสาวของเขา Natalia ทั้งคู่เคยทำงานกับทีมแข่ง Porsche ก่อนที่จะผันตัวเองมาเป็นนักแข่งเต็มตัว Natalia เข้าร่วมการแข่งขันรายการ Volkswagen GTI Challenge ส่วน Anthony ใช้รถ Opel Kadett เข้าร่วมการแข่งขันในประเภท Group N และชนะในรุ่นคลาส E พ่วงด้วยตำแหน่งนักแข่งหน้าใหม่ประจำปี Anthony บอกว่าเป็นช่วงเวลาที่ประทับใจอย่างมาก เรามีรถแข่งของคนในตระกูล Boulilliart อยู่ในสนามแข่งขันถึง 4 คันเราต่างให้ความหวังซึ่งกันและกัน พวกเราสนิทกันมากไม่ใช่แค่เพราะเป็นเพื่อนร่วมทีมแต่ยังหมายถึงความเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดอีกด้วย

ในเวลาต่อมาพวก Boulilliart ขยับขึ้นไปทำการแข่งขันในประเภท Group B โดยใช้รถแข่ง Nissan Sabres แต่ความเปลี่ยนแปลงนี้ไม่สามารถทำให้ Jacques หักเหความสนใจไปจากการไล่ล่าหาความสำเร็จเพิ่มเติมพร้อมกับรถแข่งคู่ใจ 911S คันเก่าคันเดิมของเขาได้ในปี 1994 และ 1995 เราชนะการแข่งขันรายการซีรีส์ของ PCSA 3 รายการ, รายการ Porsche Challenge และ Historics Championship” Anthony รำลึกความหลัง รางวัลเหล่านี้ทำให้ Jacques ได้ชื่อว่าเป็นแชมป์มอเตอร์สปอร์ตที่มีอายุมากที่สุดของ Boulilliart Sr South Africa โดยที่มีเสียงเรียกร้องให้เขาปรับเปลี่ยนรถแข่งใหม่จาก 911T เป็นรถแข่งที่คล้ายกับ RSR โดย Paddy O’ Sullivan เจ้าของร่วมของ MoSport ศูนย์เตรียมความพร้อมให้กับรถแข่งที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดแห่งหนึ่งของแอฟริกาใต้ได้ยื่นมาเข้ามาให้ความช่วยเหลือ MoSport เป็นศูนย์รวมชิ้นส่วนอุปกรณ์สำหรับรถแข่งที่ครบถ้วนสมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งซึ่งในบรรดาอุปกรณ์ต่าง เหล่านี้ยังรวมถึงระบบน้ำมันเชื้อเพลิงที่ถอดมาจากรถแข่ง Carrera RSR 2.8 ที่เลิกใช้ในการแข่งขันไปแล้วและเป็นสิ่งที่รถแข่งของ Boulilliart ต้องการ

แต่โชคไม่ดีที่รถที่ Jacques ใช้ในการเดินทางไปยัง MoSport เพื่อตรวจดูความพร้อมครั้งสุดท้ายของรถแข่งก่อนที่จะถูกนำไปร่วมการแข่งขันเกิดอุบัติเหตุอย่างรุนแรง Anthony บอกว่าหลังอุบัติเหตุครั้งนั้นพ่อของเขาไม่เหมือนเดิมอีกเลย พวกเราย้ายไปอยู่ที่ฟาร์มแห่งหนึ่งที่ Grabouw บน Western Cape และหลังจากนั้นไม่นานเกิดอุบัติเหตุขึ้นอีกครั้งหนึ่งซึ่งเป็นวันที่หลังจากวันเกิดปีที่ 70 ของ Jacques ไม่นานรถ Jaguar Super V8 ที่เข้าใช้ชนเข้ากับรถปิคอัพ Ford ที่วิ่งสวนมาหลังออกจากโค้ง หนึ่งของเส้นทางวิ่งบนภูเขาบนเส้นทางที่ชื่อ Sir Lawry’s Pass และหลังจากนั้นไม่กี่วัน Jacques ได้เสียชีวิตลงอันเป็นผลต่อเนื่องมาจากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นนั่นเอง

FLYING HIGH

สิ่งที่ Jacques ทำขึ้นก่อนที่เขาจะเสียชีวิตทำให้วงการแข่งรถของแอฟริกาใต้มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของผู้คนในประเทศอื่น มากขึ้นซึ่งทาง PCSA ได้ให้เกียรติกับ Jacques โดยใช้ชื่อของเขาเป็นชื่อของถ้วยรางวัลในการแข่งขันเช่นเดียวกับการจัดการแข่งขันรายการพิเศษที่ Kyalami เพื่อเป็นการรำลึกและให้เกียรติกับ Jacques แต่มีคำถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับรถ Porsche 911S คู่ใจของ Jacques ในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมาเราเกือบจะขายไปแล้ว” Anthony บอกมันมีชีวิตที่ทรหดอดทนอย่างมากกับการแข่งขันและสุดท้ายจบลงด้วยการเป็น Porsche 911 ที่มีการผสมปนเปของชิ้นส่วนประกอบต่าง มากมายเช่นกันชนและตัวถังด้านข้างที่ได้มาจากรถที่มีคนบริจาคมาเป็นต้น ผมกับ Natalia พยายามที่จะเปลี่ยนแปลงให้กลับมาเป็นรถถนนอีกครั้งหนึ่งแต่ก็ยังไม่สำเร็จ จนกระทั่ง Wernher Hartzenberg เจ้าของ Aircooled Wonders ที่เชี่ยวชาญทางด้านการฟื้นฟู Porsche Classic ก้าวเข้ามาในปี 2015 Wernher พบกับ Natalia ที่ Cape Town และเมื่อ Natalia เล่าให้ Wernher ฟังถึงความยุ่งยากในการที่จะซ่อมแซมฟื้นฟู 911 ของพ่อ การคืนชีวิตให้กับ 911 ครั้งใหม่จึงได้เริ่มต้นขึ้นอย่างจริงจัง

ปรัชญาในการทำงานของผมคือรัก Porsche ทุกคันเหมือนกับรถของเราเอง” Wernher บอกกับเราผลงานทุกชิ้นที่ออกจาก Aircooled Wonders เป็นผลงานที่ทำขึ้นด้วยความรักอย่างแท้จริง สำหรับ 911 ของ Jacques จริง แล้วมันอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่มากเป็นผลมาจากการใช้ชีวิตในสนามแข่งขันรวมไปถึงความชำรุดที่เกิดจากการชนเข้ากับกำแพงพิทที่สนามแข่ง Zwartkops Raceway ในปี 1993 มีความเสียหายในส่วนของโครงสร้างแต่เราได้สร้างเครื่องมือที่สามารถดึงขยายส่วนต่าง ที่เสียหายให้คืนสภาพเดิมได้และต้องการชิ้นส่วนตัวถังรวมถึงจมูกหน้าใหม่ด้วย

ในฐานะที่ถูกใช้เป็นรถแข่งความเร็วดังนั้นจึงมีส่วนประกอบไฟเบอร์กลาสอยู่มากมาย Wernher บอกว่าดูเหมือนจะมีเพียงแผงประตูเท่านั้นที่เป็นของดั้งเดิมบางครั้งซุ้มล้อทั้ง 4 ด้านถูกขยายออกเพื่อรองรับล้อและยางที่กว้างขึ้นซึ่งเมื่อพิจารณาสิ่งต่าง แล้วเราตัดสินใจที่จะหารถยนต์บริจาคมาใช้เพื่อแก้ปัญหาต่าง แต่เป็นสิ่งที่ยากมากด้วยเช่นกัน

Wernher และทีมงานพยายามที่จะคงชิ้นส่วนต่าง ที่เป็นของเดิมจากโรงงานไว้ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ พวกเขาต้องการที่จะคงบุคลิกดั้งเดิมของ 911 ไว้ให้ได้มากที่สุดตัวอย่างเช่นนอกจากกระจกหน้าแล้วส่วนที่เป็นกระจกต่าง ยังคงเป็นของเดิมที่สังเกตได้จากสติ๊กเกอร์ต่าง ที่ติดอยู่เช่นเดียวกับมือหมุนเปิดซันรูฟรวมไปถึงพวงมาลัยหุ้มหนังซึ่งเป็นสิ่งหนึ่งที่สื่อถึง Jacques โดยตรง การเก็บรักษาสิ่งนี้ไว้เป็นการแสดงให้เห็นว่า Jacques ยังคงเป็นส่วนหนึ่งของ Porsche คันนี้ถึงแม้ว่าเขาจะไม่มีโอกาสได้ขับขี่มันอีกแล้วก็ตาม

เพื่อลดค่าใช้จ่ายในเบื้องต้นการหาชิ้นส่วนอะไหล่ต่าง จะเป็นการหาจากในท้องถิ่นเช่นช่วงล่างด้านหน้านำมาจากรถยนต์ที่ได้รับบริจาคอีกคันหนึ่งก่อนที่จะเติมความครบถ้วนสมบูรณ์ด้วยลูกหมากคันชักของ 930 ขณะที่งานที่ต้องบูรณะขึ้นใหม่บางอย่างถูกส่งออกไปให้ผู้เชี่ยวชาญแห่งอื่นเป็นผู้ดำเนินการเช่นเครื่องยนต์เป็นหน้าที่ของ Brain White ผู้ดูแลทีมแข่ง Ernst Schuster และรถแข่ง 356C ที่เข้าเส้นชัยเป็นอันดับที่ 6 โอเวอร์ออลในการแข่งขัน Le Mans ปี 1986 โดยที่สภาพก่อนบูรณะเครื่องยนต์ถูกขยายความจุขึ้นไปเป็น 2.8 ลิตรแต่เมื่อทำใหม่เครื่องยนต์ถูกปรับความจุกระบอกสูบลงมาเป็น 2.0 ลิตรเหมือนเดิมก่อนหน้านั้นส่วนทางด้านของการเดินระบบสายไฟเป็นงานของ Johann Pienaar ผู้ชนะการประกวดรถ Porsche คลาสสิคในรายการ PCSA Concours ขณะที่ Dave Corlett เจ้าของ Soft Tops Specialists ใน Buccleuch เป็นผู้ลงมือปรับปรุงตกแต่งภายในห้องโดยสารใหม่ในเวลาเดียวกันนั้นยังมีผู้เชี่ยวชาญในเรื่องของรถ Porsche คนอื่น สละเวลามาให้คำปรึกษาข้อคิดเห็นที่เป็นประโยชน์อีกด้วยอาทิ Tim Abbot แห่งKyalami’s Porsche Master Craftman, Anton Decker แห่ง Exclusive Conversions เป็นต้น

มีสุภาษิตของชาวแอฟริกาอยู่บทหนึ่งว่า ‘it takes a village to raise a child’ ซึ่งมันเหมือนกับสิ่งที่เกิดขึ้น Wernher บอกว่าตัวเขาและทีมงานรู้สึกแปลกใจและซึ้งใจอย่างมากที่นอกจากพวกเขาแล้วยังมีคนอื่น ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษได้เข้าร่วมกันมีส่วนในการฟื้นชีวิตให้กับ 911S ของ Boulilliarts ในครั้งนี้

เมื่องานฟื้นชีวิตใหม่ของ 911S เสร็จสิ้น Anthony และลูก ของเขา Sebastian และ Oliver ได้มาร่วมในการเปิดตัว Wernher บอกว่า เด็ก ไม่มีโอกาสได้รู้จักคุ้นเคยกับปู่ของพวกเขาแต่ 911 คันนี้เป็นตัวแทนที่สามารถถ่ายทอดเรื่องราวที่ยิ่งใหญ่ต่าง ที่ปู่ของพวกเขาได้สร้างขึ้นขณะยังมีชีวิตอยู่ได้เป็นอย่างดี เมื่อผ้าคลุมถูกเปิดออกทุกคนที่รวมอยู่ในที่นั้นรู้สึกตื่นเต้นประทับใจกับ 911S ที่ใช้สีฟ้าเป็นสีของตัวรถอย่างมาก อย่างไรก็ตาม Anthony ยังไม่ได้ขับรถคันนี้เพราะ Wernher ต้องการที่จะทำการทดสอบในเรื่องของสมรรถนะด้วยเครื่องไดโนเทสต์อีกครั้งหนึ่งหลังจากผ่านการรันอินเครื่องยนต์แล้วซึ่งในการนำออกวิ่งเพื่อให้พ้นระยะรันอิน GT Porsche มีโอกาสได้ร่วมทางไปด้วยในฐานะของผู้โดยสาร

LEAVE THE NEST

Porsche 911S ที่มีชีวิตขึ้นมาใหม่และพวกเราใช้เส้นทางผ่านไปทางด้านเหนือของ Pretoria ซึ่ง 911S ใหม่วิ่งผ่านบรรดารถยนต์มากมายหลายยี่ห้อหลายขนาดอย่างรวดเร็วแต่ระมัดระวังเป็นพิเศษ เมื่อถนนเบื้องหน้าโล่งและกว้างเอื้อต่อการทำความเร็ว Wernher ไม่รอช้าที่จะเพิ่มน้ำหนักเท้าลงไปบนแป้นคันเร่งทำให้ความเร็วของ 911S พุ่งขึ้นไปแตะที่ระดับความเร็วสูงสุดตามที่ข้อบังคับทางด้านการจราจรอนุญาตให้ใช้ได้นั่นคือ 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เมื่อถึงโค้งรูปเกือกม้า ระบบเบรกเข้ามาทำหน้าที่ในการลดความเร็วให้เหมาะสมกับการเข้าโค้งอย่างไว้วางใจได้และเมื่อหลุดจากทางโค้งซ้ายความเร็วที่มากขึ้นถูกเรียกออกมาใช้อีกครั้งหนึ่งโดยที่ไม่ตัวรถไม่เกิดอาการท้ายปัดหรือซวนเซแต่อย่างใด เมื่อสังเกตดูก็เห็นได้ว่าเข็มบอกรอบเครื่องยนต์ค่อย ขยับขึ้นไปอยู่ที่ 4,000 รอบต่อนาทีอย่างช้า ก่อนที่ Wernher จะบอกว่าพอแค่นี้เพราะไม่ควรจะให้เครื่องยนต์ทำงานหนักติดต่อกันหรือใช้งานอย่างรุนแรงระหว่างการรันอิน และระหว่างการเดินทางกลับโดยใช้เส้นทางฟรีเวย์ Wernher บอกว่าอัตราทดเกียร์ยังคงสั้นอยู่ซึ่งเหมาะสำหรับการใช้สนามแข่งคงต้องนำกลับไปปรับปรุงแก้ไข แต่โดยรวมแล้วตอนนี้ 911S คันนี้เหมาะที่จะเป็นรถยนต์สำหรับการเดินทางท่องเที่ยวหรือใช้งานในสภาพปกติทั่วไปมันไม่ได้เป็นรถที่พร้อมสำหรับลงไปวาดลวดลายในสนามแข่งความเร็วแล้ว

เวลานี้ 911S สีฟ้าสดใสคันนี้เป็นเหมือนกระจกที่สะท้อนให้เห็นภาพของ 911S ที่เป็นของแท้ดั้งเดิมจากโชว์รูมตามที่ Jacques เคยเป็นเจ้าของมาแต่แรกมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้แล้ว Porsche 911S ที่ Jacques ได้เป็นเจ้าของมาอย่างยาวนานกว่า 5 ทศวรรษพร้อมแล้วที่จะกลับมาทำหน้าที่บนท้องถนนเหมือนดังเช่นรถยนต์ส่วนบุคคลทั่วไปสำหรับลูกและหลาน ของเขาแล้ว

Share

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *