Curves Trip 2 – Soulful driving

ก่อนที่จะพูดถึง  Curves Trip 2019 ผมอยากจะอธิบายความหมายของประโยคนี้ก่อนครับ 

“Soulful driving” ถ้าตามความเข้าใจของผมว่าความหมายของมันคงจะประมาณ  ความหลงใหลอย่างลึกซึ้งในการขับขี่หรือ  บ้าในการขับขี่มากๆถ้าเข้าใจประโยคนี้  ก็น่าจะเข้าใจที่มาที่ไปของหนังสือ  Curves เพราะ  Soulful driving – the story behind Curves คือคำจำกัดความของหนังสือเล่มนี้ 

เจ้าของหนังสือ  เล่มนี้คือ  Mr. Stefan Bogner เป็นคนเยอรมัน  มีอาชีพหลักเป็นเจ้าของบริษัท  เอเจนซี่ทางการตลาด  ออกแบบสื่อสิ่งพิมพ์  ทำกราฟฟิค  ให้กับบริษัทใหญ่ๆ  แบรนด์ดังๆในเยอรมันมากมาย  ลูกค้าหลักจะอยู่  ในกลุ่ม  automotive กลุ่ม  hospitality และกลุ่ม  food & travel ครับ  จากความชื่นชอบส่วนตัว  ของ  Stefan ในการขับรถท่องเที่ยวไปดูวิวทิวทัศน์ของถนนสวยๆในยุโรป  ประกอบกับความชอบถ่ายรูป  ทำให้เกิดผลงานเป็นหนังสือ  ที่มีแต่รูปถนน  แต่ไม่มีรูปรถประเภทใดๆเลยไม่ว่าจะเป็นรถยนต์  จักรยาน  ยนต์  หรือแม้กระทั่งจักรยานอยู่ในหนังสือของเขา  มาตั้งแต่ปี  .. 2011 มาจนกระทั่งปี  .. 2013  Porsche แบรนด์รถยนต์ค่ายใหญ่ของเยอรมันซึ่งเป็นลูกค้าของเค้ามายาวนาน  เข้ามาร่วมทุนในการทำหนัง  สือ  Curves ร่วมกันกับ  Stefan จนถึงปัจจุบัน  รวมถึงการออกหนังสือ  918 Spyder ในปี  ..2014 และ  หนังสือ  Porsche Drive ในปี  ..2015 หนังสือ  Curves เป็นหนังสือเล่มหนาใหญ่คุณภาพของกระดาษและเทคโนโลการพิมพ์ระดับสูงเลยทีเดียว  ครับ  เหมาะสำหรับคนที่รักในการขับขี่ทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นรถยนต์  จักรยานยนต์  หรือแม้กระทั่งจักรยาน  โดยเฉพาะคนที่ไฝ่ฝันหาความสนุกความท้าทายกับถนนประเภทที่สวยงามสูงชันบนภูเขาสูงที่มีโค้งอยู่  มากมายหลากหลายรูปแบบ  จึงทำให้หนังสือของเค้าโด่งดังอยู่ในกลุ่มคนจำนวนมาก  หนังสือจะมีอยู่สอง  ภาษาคือ  เยอรมันและอังกฤษ  และจะตีพิมพ์ออกขายปีละสองเล่มโดยสำนักพิมพ์ชื่อดัง  DK หรือ  Delius Klasing ของเยอรมันนั่นเองครับ 

Mr. Stefan Bogner ต้องการที่จะสร้างแรงบันดาลใจชักชวนสนับสนุนให้คน  ออกมาใช้ชีวิตตามวิถีทางที่  ตนเองถนัดบนถนนที่สวยงามพวกนี้  เพิ่อให้เกิดประสบการณ์ใหม่ๆและเป็นที่น่าจดจำ  และนี่ก็คือที่มาที่  ไปหลักของการจัดทริปขับขี่รถยนต์ให้กับกลุ่มเพื่อนฝูงที่สนิทกับตัวเขาครับ  ทริปการขับขี่พวกนี้เขาไม่ได้  คิดค่าบริหารจัดการใดๆเลย  นอกจากค่าที่พักค่าอาหารที่แต่ละคนจะต้องรับผิดชอบของแต่ละคนเอง  โรงแรมที่พักก็ไม่ใช่โรงแรมหรูเลิศอะไร  เกือบจะเรียกได้ว่าค่ำไหนนอนนั่น  ไม่มีการจองล่วงหน้า  เพราะไม่สามารถกำหนดเวลาการเดินทางที่แน่นอนได้  ทั้งนี้ส่วนใหญ่จะขึ้นอยู่กับดินฟ้าอากาศ  บางทีถนนก็อาจจะปิดจากภัยธรรมชาติเช่น  หิมะละลาย  น้ำท่วมถนน  ดินโคลนถล่มมาปิดเส้นทาง  เป็นต้น  เรื่องของอาหาร  ขึ้นกับโรงแรมที่พัก  แต่ที่แน่ๆไม่ใช่ร้านอาหารประเภทที่ได้รับมิชลินสตาร์  ดังนั้นเพื่อนฝูงที่จะมาร่วมเดินทางกับ  Stefan ทุกคนต้องมีจุดประสงค์เดียวกันคือการพิชิตจำนวนยอดเขา  ที่เค้าเรียกกันว่า  Pass ให้ได้มากที่สุดในแต่ละวัน  Pass คือ  ถ้ามีถนนที่วิ่งขึ้นไปบนยอดเขาเส้นหนึ่งแล้วสามารถวิ่งลงจากยอดเขาโดยใช้ถนนอีกเส้นหนึ่ง  ได้  ยอดเขาพวกนี้เขาจะเรียกกันว่า  Pass” แต่ถ้ามีถนนวิ่งขึ้นไปถึงจุดสูงสุดของเขาแล้วต้องวิ่งกลับลง  มาทางเดิมเท่านั้น  ถนนพวกนี้เขาจะไม่เรียกว่า  Pass กฏเหล็กสามข้อที่ผู้ร่วมคณะจะต้องถือปฏิบัติคือ 

1. ต้องตื่นเช้า  ล้อจะหมุน  ตอน7:30 .ของทุกวัน  เพราะการขับขี่บนเทือกเขา  Alpine Passes ตอน8:00 .จะทำให้คุณไม่มีวันลืมได้เลย 

2. น้ำมันต้องเต็มถัง  เสบียงต้องพร้อมก่อนออกเดินทางในตอนเช้า 

3. ขับรถคุณให้เต็มที่โดยไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนปฏิบัติตามกฏหมายและให้เกียรติผู้ร่วมใช้ทางกับคุณไม่ว่าเขาจะขับขี่อะไร 

ผมเองได้เจอ  Stefan Bogner เป็นครั้งแรกที่ร้านอาหารบลูมูนที่  25G เพราะเต้น  (คุณสีหบุตร  ชุมสาย    อยุธยา) และพี่เอ  (คุณธรรมนูญ  พรโรจนากูร) โทรมาชวนไปทานข้าวเย็นบอกว่า  มีช่างภาพของ Porsche  มาจากเยอรมัน  ให้มานั่งทานข้าวด้วยกันหน่อย  เมื่อวันที่  19 ธันวาคม  2561 วันนั้นเป็นวันแรกที่ผมได้เห็น  หนังสือ  Curves เล่มที่หน้าปกเป็น  STELVIO ที่ผมจำวันที่ได้ก็เพราะ  Stefan เขาเซ็นต์ชื่อและลงวันที่เอา  ไว้ให้ผมที่หนังสือ  รูปถนนต่างๆในหนังสือเล่มนั้นเห็นแล้วยังนั่งคุยกันบนโต๊ะอาหารเลยว่า  แล้วพวกเรา  จะได้มีโอกาสไปขับรถ  บนถนนพวกนี้ไหมเนี่ย  ทุกคนพูดขึ้นมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมายว่า  ยากหว่ะแล้วเราก็หัวเราะกัน 

หลังจากวันนั้น  Stefan เต้น  พี่เอ  อู๋  (คุณนภัส  อัสสกุล) พอล  (คุณซุยพาง  กาญจนพา  สน์) และ  คุณเอ  (คุณสุทธิเดช  ถกลศรี) ก็ไปขับรถถ่ายทำหนังโฆษณาให้ Porsche กันที่ภาคอีสาน  ส่วนผมเอง  ติดงานสำคัญจึงไม่ได้ไปร่วมการถ่ายทำในครั้งนั้น  จนถึงวันนี้ผมยังหาคำอื่นใดมาแทนคำว่า  Destiny ยังไม่เจอเลยครับ  ยิ่งกลับมานั่งคิดถึงเหตุการณ์ต่างๆ  ที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรา  ถ้ามองแค่บางช่วงเวลาเราคงจะยังไม่เห็นภาพชัด  แต่ถ้าเรากลับมานั่งย้อนหลัง  มองดู  บางทีสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรามันก็น่าเหลือเชื่อมากๆเลยนะครับ 

ตั้งแต่เล็กจนโตผมชอบรถยนต์  มอเตอร์ไซค์  จักรยาน  มันก็ไม่แปลกนะที่ชีวิตผู้ชายคนหนึ่งจะผูกพันกับสิ่งของพวกนี้  ถ้ามองย้อนชีวิตผมกลับ  ไปในวัยเด็ก  ผมเป็นเด็กซุกซนชอบรื้อชอบดูว่าของเล่นหรือของใช้แต่ละอย่างมันทำงานยังไงกลไกมัน  หน้าตาเป็นยังไง  พอผมโตขึ้นมาหน่อยก็มีโอกาสได้ซุกซนกับของที่ชิ้นใหญ่ขึ้นมาเรื่อยโดยเฉพาะรถยนต์  ผมชอบดูเวลาที่มีช่างมาซ่อมรถที่บ้าน ชอบอาสาขอพี่ๆเค้าทำถอดโน่นประกอบนี่จนคุ้นเคยดีกับเครื่องมือช่าง  นั่งบดวาล์วไอดีไอเสียของรถยนต์  ทากาวปะเก็น  หรือแม้แต่ใช้หินลับมีดมานั่งฝนฝาสูบให้เรียบก็เคย  ทำมาตั้งแต่เด็ก  พอเข้าสู่วัยรุ่นก็รับอาสาคุณน้าๆทั้งหลายในครอบครัวไปซื้ออะไหล่กลับมาให้เพราะถูก  ส่งไปเรียนหนังสือที่อังกฤษ  พอมีใบขับขี่ก็รับอาสาขับรถไปเข้าอู่ให้  ไปรอรับรถกลับจากอู่ให้  ผมจะยิ่งชอบมากที่สุดถ้ารถคันนั้นเป็นรถ Porscheครับ 

และที่ผมได้มีโอกาสขับรถ Porscheก็เพราะแบบนี้แหละครับ  เป็นรถของคุณน้าตุ่ม  (คุณสันติ  ภิรมย์ภักดี) เริ่มซื้อหนังสือรถอ่านก็หนังสือรถ Porscheอีกน่ะแหละครับ  ความชื่น  ชอบของผมก็ยังคงเหมือนเดิมมาจนถึงวันนี้ผมไม่เคยนึกเลยว่า  ผมจะได้มีโอกาสฉลองวันเกิดตัวเองอายุครบ  50 ปีแบบนี้……… คงจะพอเดากันได้  แล้วนะครับว่าแบบนี้น่ะแบบไหน  เวลาจะขับรถท่องเที่ยวแต่ละครั้ง  ผมจะต้องเตรียมตัว  เตรียมรถ  เตรียมกล้อง  เตรียม  GoPro เตรียมที่ยึด  จับโทรศัพท์มือถือ  ไว้ใช้นำทาง  ล่วงหน้าแต่เนิ่นๆทุกครั้งไป  เพราะเป็นคนตื่นเต้นเว่อ  กลัวรถเสียบ้าง  กลัวลืมของบ้าง  ที่สำคัญคือเสื้อผ้า  ถุงมือ  ผ้าพันคอ  และ  หมวก  เพราะกลัวจะหนาว  และ  ไม่สบายระหว่างทาง  ทั้งๆที่ต้องคอยบอกตัวเองอยู่ตลอดว่า  เตรียมมาทีไร  ไม่เคยได้ใช้ซักที  แต่ก็อดไม่ได้  แล้วเวลาภรรยาถาม  ทีไรว่า  จะไปไหนบ้าง  นอนที่ไหน  ก็จะทำหน้า  งง  งง  แล้วก็ไม่เคยตอบได้เลย  เป็นอย่างนี้ทุกครั้งไป  เพราะปกติเรื่องเส้นทาง  ที่พัก  ร้านอาหาร  จะมีเพื่อนๆที่น่ารักในกลุ่ม  แบ่งหน้าที่กันไปดูแลจัดจองล่วงหน้ากันทุกครั้ง  ส่วนผมเองจะรู้แค่ว่าเดินทางวันไหน  กลับถึงบ้านวันไหน  เท่านั้นเอง 

ครั้งนี้ก็เหมือนกันครับ  กลุ่มไลน์  ชื่อ  Renndrive Alpine ถูกตั้งขึ้นเมื่อต้นเดือน  มีนาคม  2562 นี้เอง  ผมก็เข้ากลุ่มไปแบบ  งง  งง  อีกเช่นเคย  เห็นกำลังคุยกันใหญ่  ว่าใครจะเช่ารถอะไร  เช่ารถจากที่ไหน  โดยมีคุณเอ  เป็นแกนนำ  ช่วยบริหารจัดการทุกอย่างให้น้องๆทุกคน  เหมือนเป็นกำลังหลักของการเดินทางครั้งนี้เลยก็ว่าได้  ผมเอง  มีความไม่แน่นอนอยู่มาก  เพราะงานที่รับผิดชอบอยู่ก็กำลังเข้มข้น  จึงตัดสินใจดูตารางงาน  แล้วกำหนดวันเดินทางไปสมทบกับกลุ่มหลักแล้วจองตั๋วเครื่องบินเลย  ครั้งนี้ตัดสินใจแบบแน่วแน่มากเพราะเป็นการเดินทางที่ไม่ได้จะมีโอกาสไปแบบนี้ได้บ่อยๆ  แล้วยังเป็นการฉลองวันเกิดให้ตัวเองครบ  50 ปี  อีกด้วย  หลังจากนั้นไม่นาน  ก็ทราบว่า  Stefan Bogner และคณะมีคิวที่จะมาถ่ายงานให้ Porscheอีก  ที่เมืองไทยจึงปรึกษากันในไลน์กลุ่มว่าจะนัดพวกเราทั้งคณะที่จะไปขับรถกันที่ยุโรป  ไปทานข้าวกับ  Stefan เพื่อพูดคุย  เรื่องทริปขับรถกันอย่างละเอียด  ผมเองก็ตั้งใจว่าจะไปเก็บข้อมูลเรื่องการเดินทาง  เรื่องสถานที่พัก  เพราะ  ภรรยาเป็นห่วง  และทักมาแล้วว่า  ครั้งนี้ผมควรต้องมีข้อมูลเพราะถ้าจะให้ภรรยาช่วยจองอะไร  จะได้รีบ  ช่วยทำให้เสร็จ  สรุป  ผมกลับบ้านมาด้วยข้อมูลเพิ่มเติม  3 เรื่องคือ 

1) Stefan บอกว่าเอารถ  911T ปี1970 ของผมจากอังกฤษไปขับกับเค้าได้  เพราะมีรถเหมือนของผมร่วมเดินทางด้วย  แล้วยังมีรถเก่าๆ  ปีใกล้ๆกันกับรถผมอีกหลายคัน  ส่วน  Stefan เองก็จะขับ  911ST คล้ายๆ  กับรถผมเลย  ผมตอบตกลง  เพราะวันนั้นรถ  911 ST คืออะไรยังไงผมยังไม่รู้จักเลยครับ  แต่วันนี้รู้จักดีแล้ว  ครับ  ติดตาติดใจสุดๆ 

2) การจองโรงแรมก่อนและหลัง  Curves Trip น้องแก้มภรรยาเต้น  ดูแลจัดการให้ 

3) การจองโรงแรมระหว่าง  Curves Trip นั้น  Stefan จัดการให้ทั้งหมด 

การเตรียมตัวเดินทางในครั้งนี้  เริ่มต้นด้วยการส่งรถ  ไปทำ  Full Service โดยได้รับคำแนะนำจาก  Stefan ให้ส่งเข้าทำที่  Porsche Zentrum München เลย  เพราะที่นี่เป็น  Porsche Classic Center ที่ดี  อีกอย่างหนึ่งคือ  รถทุกคันจะมาพร้อมตัวกันที่นี่  Curves Trip 2019 จะเริ่มออกตัวจากที่นี่ครับ  มิวนิกหาที่ จอดรถเพื่อรวมตัวกันได้ยาก  ที่นี่สะดวกมากใกล้กับโรงแรมที่พัก  มีปั้มน้ำมัน  มีร้านสะดวกซื้อ  อยู่ใกล้ๆ  เหมาะมากครับ  ช่วงใกล้วันเดินทาง  ขอบอกครับว่าแต่ละคนตื่นเต้นกันมากมาก  และมากขึ้นอีกเมื่อทราบข่าวจากอู๋ว่า  คณะมีเพิ่มขึ้นมาสามคน  ที่สำคัญคือหนึ่งในนั้นคือเจ้านายใหญ่ของกระผมเองครับ 

คราวนี้  ผมมั่นใจว่าผมอยู่ได้ตลอดทั้งทริปแน่นอน  เพราะเจ้านายใหญ่ท่านอนุญาตแล้ว  ก็เหลือแต่เจ้านายที่บ้าน  อีกสองคนนี่แหละครับ  แต่เอาเข้าจริงๆ  ทั้งภรรยา  และ  ลูกสาวผม  ก็้เข้าใจผมดี  ส่วนลูกชายเรียนอยู่ที่อังกฤษเขาก็ยังติดเรียนหนังสืออยู่  ที่บ้านมีก็แค่เป็นห่วงความปลอดภัยในการขับขี่  กับระยะเวลาจากบ้านที่นานพอสมควร  ซึ่งเค้าก็สนับสนุนให้ผมได้เดินทางได้อย่างสบายใจ  และแล้ววันที่รอคอยก็มาถึงคณะที่เดินทางล่วงหน้านี้นำทีมโดย เต้น  แก้ม (ภรรยาของเต้น) และ  พี่เอ  เดิน  ทางเป็นกลุ่มแรก 

เต้นบอกพวกเราว่าได้แอบประสานงานพาพวกเราไปดู  Porsche Museum แบบพิเศษ  สุดๆ  และดูที่อื่นๆอีกที่เป็น  surprise เพราะแอบนัดแนะกับ  ผู้บริหารของ Porscheที่ดูแลฝั่งเอเซียแปซิฟิคเอาไว้  คงเหลือแค่ผม  และ  คุณเอ  ที่จะบินตามไปเจอคณะเพื่อไปดู  Porsche Museum กันเลยในวันนั้น  ส่วนอู๋  ติดงานอยู่ที่แฟรงเฟิร์ตแต่จะมาเจอพวกเราที่  มิวนิก  วันเดียวกับ  ที่  น้าตุ่ม(คุณสันติ  ภิรมย์ภักดี) เต้  (คุณภูริต  ภิรมย์ภักดี) และ  แอะ  (คุณชัยภัฏ  จาตุรงคกุล) จะบินเข้ามาเจอกันจากเมืองไทย

การเดินทางของผมและคุณเอ  ราบรื่นดีครับ  เพราะจริงๆแล้วเราสองคนง่ายๆทั้งคู่  เลยยังไงก็ได้  เช่นลง  เครื่องบินที่มิวนิกแล้วควรจะไปต่อรถไฟจากสนามบินไปมิวนิก  เซนทรัล  สเตชั่น  เพื่อที่จะขึ้นรถไฟไปที่เมือง  สตุทท์การ์ทเพราะคุณเอซื้อตั๋วรถไฟมาเรียบร้อย  online อุตส่าห์ฝึกหาวิธีสแกนบาร์โค๊ดกันใหญ่จากมือถือ  ผลปรากฏว่าลงเครื่องแล้วคุณเอพาผมเดินตามคณะแอร์สายการบินหนึ่งไปจนเขาขึ้นรถ  พอรู้ตัวกัน  คุณเอเห็นที่ขึ้นแท็กซี่  เลยพากันขึ้นแท็กซี่กันไปเฉยเลย  แถมมันส์สุดๆอีกด้วย  ยุคนขับนิดเดียวมันซิ่งโชว์  มุดซ้ายมุดขวา  แล้วก็รถติดยาว

ผมส่งข้อความหาเต้นว่ามาถึงแล้วนะ  กำลังนั่งแท็กซี่ไปขึ้นรถไฟไปหาที่สตุทท์การ์ท  คุณเต้นตอบมาอย่าเร็วเลยว่ามึงนั่งแท็กซี่ทำไมกูบอกให้มึงขึ้นรถไฟตอนเช้าๆ แบบนี้รถติด  ตายห่าแล้วพวกมึงจะมาถึงกี่โมงเนี่ยกูนัดเค้าไว้ด้วยนะข้อความยาวเป็นกิโล  ขี้เกียจอ่าน  เลยปิด  เสียงโทรศัพท์ยัดใส่กระเป๋ายาวเลยครับ 

เมื่อใกล้ถึงผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาเต้นเพื่อให้เค้าขับ  รถมารับที่สถานีรถไฟคำแรกที่มันพูดคือทำไมมึงมาถึงเร็วจังว่ะ เมียกูยังอาบน้ำไม่เสร็จเลย  พี่เอตื่นยัง  ก็ไม่รู้เนี่ย  แค่นี้นะเดี๋ยวเจอกัน  เอ่อคุณเต้นครับเอาใจลำบากนะครับ555

ผมกับคุณเอ  ปรับแผนได้ทุกเวลาเพราะพอลงจากแท็กซี่ที่มิวนิก  เซนทรัล  สเตชั่น  เวลารถไฟไปสตุทท์การ์ทของเราอีกตั้ง2ชั่วโมงเลย  คุยกันว่าเดี๋ยวเราหาขบวนที่ออกเร็วกว่านี้ดีกว่าแล้วก็ขึ้นกันไป  ตั๋วใช้ได้ ไม่ได้ ไม่รู้ เดี๋ยวว่ากัน 

สรุปคือถึง  ก่อนเวลาไงครับท่าน  เพราะฉะนั้นจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอีกครั้งแล้วถามว่า  เต้นถึงไหนแล้ว  จะมารับตรง  ไหน  ครึ่งชั่วโมงผ่านไปเชื่อไหมครับคุณผู้ชม  เรายังทะเลาะกันเรื่องเดิมอยู่เลย  จนในที่สุด  เปิด  WhatsApp location แล้ว  แชร์  live location อันนี้สุดยอดสำหรับการนัดเจอกันของพวกที่ไม่ค่อยจะมี  sense of direction เท่าไหร่  อันนี้ขอแนะนำเลยครับสุดยอดจริงๆ  ถ้ายังหลงกันอีกก็บ้าแล้วครับ 

จุดหมายแรกของเราวันนี้คือ  Porsche Classic Factory Restoration Stuttgart ได้พบกับ  Mr. Uwe Makrutzki ซึ่งเค้าคือ  Classic Factory Restoration Manager Stuttgart คนนี้เค้าโด่งดังเพราะล่าสุด   Porsche เปิดตัวโปรเจ็คคลาสสิคด้วยรถ Porsche  993 ซึ่งเป็นรถแอร์คูลรุ่นสุดท้ายของ Porsche  ชื่อว่า  NEW Porsche 993 – Project Gold I EP076 ได้ดู  Mr. Uwe ใน  Youtube มาเยอะแล้ว  พอได้มาเจอตัวจริง  เสียงจริงมันตื่นเต้นมากเลยครับ 

วันนี้ผมได้คำตอบชัดครับสำหรับคนที่พอจะมีประสบการณ์ทำรถ  คลาสสิคมาบ้าง  ว่าที่นี่มันพิเศษกว่าการส่งรถเข้าไปทำที่อื่นอย่างไร  ผมขอยกตัวอย่างเพียงเรื่องเดียว  จะได้ไม่เบื่อกัน  กล่าวคือ  ตัวถังครับ  จะเคาะให้เนียน  จะเปลี่ยนให้ทรงสวย  ก็คงมีอยู่หลายที่ในโลกที่พอ  จะทำได้  แต่สำหรับที่นี่  เค้าเน้นมากมากเรื่องการเตรียมพื้นผิวของตัวถังต้องไม่มีสนิมหลงเหลืออยู่เลยไม่  ว่าจะในซอกใดๆของตัวถัง  เพราะที่นี่ตัวถังจะได้ลงชุบป้องกันพื้นผิวโลหะทั้งคัน  ในอ่างเดียวกับสายการผลิตรถใหม่ของ Porscheทุกคันครับ 

นี่คือรถคลาสสิคของเราจะได้รับเทคโนโลยีป้องกันสนิมของตัวถังของรถ Porscheในวันนี้  มีสตางค์มากๆอย่างเดียวก็ยังไม่สามารถส่งรถคลาสสิค Porsche คันโปรดมาทำการบูรณะใหม่ที่นี่ได้นะครับ  จะต้องมีความอดทนสูงควบคู่กันด้วย  คิวเค้ายาวจริงๆครับ 

ต่อมาเราก็เริ่มเดินทางเข้ามาที่  Porsche Museum แล้วนะครับ มาพบกับคนที่รับอาสามาพาเรา  เดินดู  สถานที่ต่างๆในสายงานการผลิต  ผมขอเล่าส่วนที่ผมประทับใจที่ได้รู้ได้เห็นกับตานะครับเช่นแผนก   Porsche  เอ็กคลูซีฟครับ  ที่นี่เราได้เห็นรถใหม่ๆ รุ่นพิเศษที่ประกอบเสร็จจากสายการผลิตปกติ  ถูกแยกจากขบวนมาจอดเก็บไว้ที่นี่  ชิ้นส่วนหลายอย่างของรถถูกรื้อออกมาทำใหม่ในแบบที่ลูกค้าแต่ละคนต้องการ 

สำหรับที่นี่จุดนี้  มีสตางค์  ทำอะไรก็ได้จริงๆครับ  โดยเฉพาะการสั่งพ่นสีพิเศษ  มันพิเศษมากขนาดที่  โรงงาน Porscheพ่นได้แค่ปีละไม่เกิน  5-6 คันเท่านั้น  ก็ยังมีคนเข้าคิวรอสั่งพ่นสีนี้กันจำนวนมากเลยทีเดียว  ส่วนตัวผมมองว่าถ้าเกิดมีการเฉี่ยวชนขึ้นมาแล้วใครจะซ่อมสีให้ผมได้นะเนี่ย 

วันนี้ถึงแม้ว่าพวกเราทุกคนได้เห็นรถ Porsche  สปีดสเตอร์  ใหม่แบบนับไม่ถ้วนแล้ว  จากที่ไม่เคยเห็นมาก่อนแต่ผมว่า  มันยังไม่ทำให้  พวกเราทุกคนตื่นเต้นกับหนังที่พวกเราได้เห็น  ที่เขาเปิดในหน้าจอต่างๆทั้งใหญ่ทั้งเล็กโดยรอบบริเวณ  ของโรงงาน  บริเวณพื้นที่รับรถใหม่  หรือแม้แต่ใน   Porscheมิวเซี่ยมเองก็ดี  มันคือ  หนังทางการตลาดใหม่  ของ Porsche  ที่ถ่ายทำในเมืองไทย  ใช้รถ Porsche หลายยุคหลายสมัยของคนไทยและที่สำคัญถ่ายทำโดยคนไทยด้วยครับ  กำกับโดยเพื่อนเต้นของเรานี่เหละครับ  พวกผมทุกคนภูมิใจที่สุดที่ได้เห็น เอ้หรือว่าเต้นจัดฉากหรือป่าว  ผมว่าถ้าจัดได้ขนาดนี้ผมก็ต้องยอมละครับ 

อีกอย่างที่ผมตื่นตาตื่นใจมากก็คือ   Porsche มิวเซี่ยม  เขากำลังเฉลิมฉลองวันเกิดครบรอบ50ปีของรถ Porsche  914ครับ  โปรเจ็ค  914 ของผมทำมา  4 ปีกว่าแล้ว  รถเขาฉลองวันเกิดอายุ 50 กันในปีนี้  รถเราจะเสร็จไหม  เนี่ยปีนี้  สงสัยไม่เสร็จ! ยิ่งได้เข้าไปดูหลังบ้านของมิวเซี่ยม  บริเวณที่เขาใช้ซ่อมแซมรถของมิวเซี่ยมด้วย  แล้วขนลุกซู่ไปทั้งตัวเลยครับ  เพราะได้สัมผัสกับรถ  914 เครื่อง8สูบ  หรือที่เขาเรียกกันว่า  914/8 แต่   Porsche เองเรียกว่า  914/S นะครับ  หนึ่งในสองคันที่ผลิตขึ้นมาเมื่อปี  ..1969 มาจอดที่ช่องซ่อมให้ได้  เห็นกันใกล้ๆเลยครับ 

คันนี้สีส้มคือคันที่เขาผลิตขึ้นมาเป็นคันแรกให้  Ferdinand Karl Piëch ใช้  มันคืองานศิลปะที่ผมดีใจมากที่ได้สัมผัสแบบใกล้ชิดขนาดนี้ครับต้องขอขอบคุณเต้นมาก  ในนี้ยังมี  914อีก  หลากหลายรูปแบบให้ดู  และแล้วหัวหน้าทัวร์ก็พาเราเข้าไปดูด้านในของมิวเซียม  ผมมองดูเวลามันก็ห้าโมงเย็นเข้าไปแล้ว  ยังแอบคิดในใจว่าเหลือเวลาอีกนิดเดียวก็ปิดแล้วเสียดายจริงๆ  ผมจึงตั้งใจเดินแยก  จากกลุ่มเข้าไปดูรถคันที่ชอบแบบเร็วๆแล้วก็มุ่งหน้าไปดูรถ  914 มากมายที่เขานำเข้ามาจัดแสดงเพื่อ  ฉลอง50ปี  ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของบอดี้ของอุปกรณ์ควบตั้งแต่ปีแรกที่ผลิตจนปีสุดท้ายถ่ายรูปเก็บข้อ  มูลได้ครบเขาก็ประกาศว่าถึงเวลาที่มิวเซียมปิดแล้วขอให้เดินไปที่ทางออกกันด้วยทุกคน  ผมจึงเดินตาม  มาเจอกับคณะบริเวณทางออก  ทันใดนั้นหัวหน้าทัวร์ก็ให้พวกเรามารวมตัวที่มุมหนึ่งของทางออกจนเจ้า  หน้าที่รักษาความปลอดภัยชุดสุดท้ายเดินออกจากมิวเซียมจนหมด  แล้วเขาก็บอกเราว่าโอเคนะ  ขอให้  มีความสุขกับการกลับเข้าไปชมข้างในแบบส่วนตัว  พวกเราทุกคนตกใจกันมาก  แต่ก็รู้สึกขอบคุณเต้น  ขอบคุณผู้ประสานงานที่อนุญาตให้พวกเราได้ดูได้นั่งได้ถ่ายรูปกับรถทุกคันที่เราต้องการในที่แห่งนี้  สนุก  จนลืมหิวกันเลยละครับขอบอก  มันช่างเป็นข่วงเวลาที่น่าจดจำมากๆ  วันรุ่งขึ้นแล้วสินะที่พวกเราต้องมุ่งหน้าเดินทางเข้ามิวนิกเพื่อไปเจอกับทุกคนในคณะไปดูรถเตรียมข้าว  ของก่อนออกเดินทางในวันถัดไปแต่เช้ามืด  คุณเอบอกพวกเราว่าวันแรกของทริปได้ยินว่าเราต้องขับรถ  นานหน่อยแต่ช่วงแรกๆโชคดีที่เป็นออโต้บาห์น  ผมจำได้ว่าตอนนั้นเรานั่งทานเข้าเย็นกันอยู่ผมนี่เกือบจะ  กลืนอาหารคำนั้นไม่ลงคอเลยเพราะคิดขึ้นมาว่าครั้งสุดท้ายที่ขับรถผมที่มอเตอร์เวย์ที่อังกฤษ  วิ่งอยู่ที่  ความเร็วยังไม่ถึง70ไมล์เลยเจอลมพัดทีนี่รถผมส่ายทั้งคัน  แล้ว  Porsche Classic Center ที่มิวนิกจะ  ทำให้รถผมขับดีขึ้นได้แค่ไหนเนี่ย  เราจะวิ่งตามกลุ่มเขาทันไหม  ถ้าไม่ทันเราจะหลงไหม  แต่ก็เบาใจเพราะ  อย่างน้อยผมก็มีพี่ชายสุดที่รัก  คือพี่เอ  ที่เสียสละ  มานั่งกับผมตลอดการเดินทางในทริปนี้ครับ  อย่างน้อย  เราก็ไม่ได้อยู่คนเดียว  จริงๆผมเชื่อเหลือเกินว่าพี่เอก็ต้องอยากขับรถแน่ๆอยู่แล้ว  เดิมก็เช่ารถ  Boxster ตัวใหม่เอาไว้เหมือนกันแต่คงเป็นห่วงน้องว่าปกติเดี๋ยวมันก็เหนื่อยเดี๋ยวมันก็ปวดหัวเป็นไมเกรน  ผมว่า  ด้วยเหตุผลของพี่ที่เป็นห่วงน้องนี่เหละพี่เอเลยตัดสินใจมานั่งเป็นเพื่อนน้องแทนที่จะเช่ารถขับเอง  ผมขอ  ขอบคุณพี่เอมากที่สุดจากใจเลยนะครับ 

Day 1 Saturday 29th June 450km 8hr :

Munich to Bever Switzerland VIA Austria, Italy : Overnight in Bever Switzerland

วันนี้คือวันแรกของการเดินทาง  ผมตั้งนาฬิกาปลุกไว้ตอนตี4ครึ่งเพราะต้องแยกของมาใส่กระเป๋าเล็ก  ต้องฝากกระเป๋าใหญ่ไว้ที่โรงแรมที่มิวนิก  เช็คเอ้าท์แล้วยกของไปใส่รถที่  Porsche Zentrum München เพราะล้อหมุน6โมงเช้าครับ  การออกทริปครั้งนี้พวกเราทุกคนตื่นตัวและตรงเวลากันมากเพราะคน  เยอรมันเป็นคนที่ตรงต่อเวลาพวกเราเลยคุยกันว่ากลุ่มเรามาร่วมเดินทางกับคณะของ  Stefan ในครั้งนี้  ในถานะแขกรับเชิญของเขา  การบริหารจัดการระหว่างการเดินทางทั้งหมด  Stefan ทำให้โดยไม่มีค่าใช้  จ่ายใดๆเลย  ดังนั้นสิ่งสำคัญที่สุดคือพวกเราต้องตรงต่อเวลา  แล้วมันก็จริงอย่าที่พวกเราคิด  ตีห้าสี่สิบห้า  Stefan เค้าเริ่มมีบริฟฟิ่ง  หกโมงเช้าล้อหมุนจริงๆ  ครึ่งชั่วโมงแรกของการเดินทางผมยอมรับว่าผมเครียดมาก  พี่เอก็ดูผมออก  เพราะเราขับรถออกทริปกัน  มานาน  ความน่ารักของพี่เอคือไม่กดดัน  ก่อนออกเดินทางผมติดตั้งที่ยึดโทรศัพท์เสียบสายชาร์จเปิด  Waze รอ  pairing ลำโพงตั้งระดับเสียงนำทางเสร็จสรรพ  รอแค่  location เท่านั้นเอง  แต่  Stefan กลับ  บอกให้พวกเราเก็บอุปกรณ์เหล่านี้ให้หมด  เพราะไม่ต้องการให้มีสิ่งใดมาบังสายตา  ต้องการให้ได้เห็นวิว  ทิวทัศน์เต็มที่  สนุกกับการขับรถ  ที่สำคัญคือห้ามทิ้งระยะห่างคันหน้ามากเกินไป  รับรองไม่หลง  แค่นี้พี่เอ  ก็รู้แล้วครับว่าผมเครียดแน่นอนเพราะ  Waze นอกจากจะนำทางได้ดีแล้วยังมีเสียงเตือนความเร็วที่  กำหนดในทุกๆที่ถ้าเกินก็จะเตือนเราตลอดเวลา  มีผู้ร่วมใช้ทางที่ใช้โปรแกรมนี้เช่นกันคอยบอกคอยเตือน  เรา  realtime ว่ามีรถจอดไหล่ทาง  มีอุบัติเหตุ  มีตำรวจ  มีด่าน  มีกล้องจับความเร็ว  มีความเร็วของรถที่จับ  จาก  GPS ขึ้นโชว์บนหน้าจอโทรศัพท์ตลอดเวลาด้วย  ผมขับรถคลาสสิคครับเข็มไมล์มันก็ไม่ค่อยเสถียร  ผมจึงพึ่งโปรแกรม  Waze มาโดยตลอด  แต่ครั้งนี้ไม่มี  อีกอย่างคือผมขับรถพวงมาลัยขวาแต่ในยุโรป  เค้าขับรถพวงมาลัยซ้ายกัน  ช่วงแรกๆต้องพยายามปรับตัวเพราะกลัวหลุดขบวนกลัวหลง  แต่พวกเราก็  มาถึงจุดหมายแรก  คือจุดพักรถก่อนเข้าออโต้บาห์นกันครบเรียบร้อยดีทุกคัน  ก่อนออกจากจุดนี้  Stefan แบ่งกลุ่มออกเป็นสองกลุ่มคือกลุ่มรถเร็ว  กับ  กลุ่มรถคลาสสิค  ขอเรียกชื่อกลุ่มหลังในรูปแบบของผม  นะครับ  เพราะจริงๆเค้าเรียกว่ากลุ่มช้าครับ  เพื่อให้เห็นภาพ  คณะของคนไทยถูกแบ่งออกเป็นสองกลุ่มดัง  นี้ครับ  กลุ่มเร็วนำขบวนโดย  Andreas Henkeขับ911Rนำพวกเราคือ  เต้ขับ918 Spyder น้าตุ่มกับแอะขับ991 Carrera4 GTS อู๋ขับ718 Cayman และ  คุณเอขับ718 Cayman ส่วนกลุ่มที่สอง  กลุ่มรถคลาสสิคนำ  ขบวนโดย  Stefan Bogner ขับ911 STนำพวกเราคือ  ผมกับพี่เอ  ธรรมนูญขับ911T ตามด้วยเต้นกับแก้ม  ขับ911 Carrera 3.2 ซึ่งจริงๆเราตกลงจับมือกันอย่างดีว่าจะขับกันตามลำดับแบบนี้นะครับ  เพราะการขับ  รถท่องเที่ยวในอังกฤษในทริปก่อนหน้านี้เราเคยตกลงกับไว้อย่างดีว่ารถคลาสสิคที่มีแอร์จะต้องขับตาม  รถคลาสสิคที่ไม่มีแอร์เสมอครับ  แล้วถ้ามีรถสมัยใหม่ร่วมเดินทางด้วย  พวกรถคลาสสิคที่ไม่มีแอร์ได้สิทธิ์  ขับตามรถสมัยใหม่ก่อนด้วยครับ  เพราะผู้ตามยิ่งถ้าไม่มีแอร์ด้วยแล้วจะรับกลิ่นไอเสียของรถคันหน้าเข้า  เต็มๆ  เหม็นและเมามากๆครับถึงเวลารายงานผลงานของ  Porsche Zentrum München ซึ่งมีแผนกรับรถ  Porsche Classic ที่ผมได้  เล่าไปแล้วตอนแรกว่า  รถของผมก่อนหน้านี้วิ่งยังไม่ถึง70ไมล์เลย  หัวรถมันส่ายจนขับเร็วขึ้นอีกไม่ไหว  แล้ว  แต่ตอนนี้วิ่งอยู่บนออโต้บาห์น  ผมขับได้เต็มคันเร่ง  วิ่งค้างอยู่ที่ความเร็ว110ไมล์  บวก/ลบ  ขึ้นอยู่กับ  วิ่งตามลม  หรือวิ่งทวนลม  นิ่งขับมั่นใจขึ้นมากเลยครับ  เสียอย่างเดียวที่เพื่อนเต้นของผมไม่รักษาสัญญาแซงผมขึ้นมานำเกือบตลอดทางเลย  พี่เอบ่นอุบเลยครับว่าผมปล่อยให้เต้นแซงขึ้นไปได้ยังไง  แซงคืน  เดี๋ยวนี้  รถมันเหม็นมากรู้ไม๊  แซงเร็วๆ  แก่บ่นจนผมเริ่มเครียดแต่ก็พยายามสงบจิตสงบใจบอกพี่เอแก่ว่า  พี่ครับ  รถเต้นมันใหม่กว่าเราตั้งเกือบ20ปีเครื่องรถเรา2200ซีซี  เครื่องรถเต้น3200ซีซี  แถมรถเราแบก  กระเป๋าเราสองคนเต็มที่  รถเต้นยังขี้โกงเอากระเป๋าไปใส่รถอู๋อีก  ผมตามขบวนได้ทันก็บุญแล้วพี่  ส่วนเรื่อง  เหม็นอ่ะสมน้ำหน้าพี่เอมากตอนอยู่อังกฤษขับรถเฟอรารี่มอนเดลเปิดแอร์เพลงเพราะ  ส่วนผมขับคันนี้ตาม  เนี่ยผมกับภรรยาก็เหม็นแทบจะเป็นลมแบบนี้แหละ  อดทนนะพี่  ฝึกไว้  ผมจำได้เลยพอจอดรถปุ๊บพี่เอเดิน  ไปหาเต้นทันที  ยังไม่ทันพูดอะไรเลยแต่ดูเหมือนเต้นจะรู้ตัวรีบสวนกลับมาทันที  พี่เอครับ  ผมต้องแซง  เพราะแก้มเหม็น  เต้นกล่าว  ส่วนพี่เอก็สวนทันทีเช่นกัน  รถมึงมีแอร์  มันจะเหม็นเท่ารถคันหนูนินมันได้ไงว่ะ  สรุปคือแอร์รถเต้นเสีย  สมน้ำหน้าเยาะเย้ยเราไว้ตั้งแต่อยู่เมืองไทยล่ะ  บอกให้ส่งรถมาเช็คด้วยกันก็ไม่ส่ง  เอาน่ะ  หนทางยังอีกยาวไกลครับ  วันแรกตามกำหนดการเราต้องขับประมาณ  450km ใช้เวลา  8ชั่วโมง  วิ่งจาก  เยอรมัน  ไป  ออสเตรีย  แล้ว  เข้า  อิตาลี  แล้วกลับเข้ามานอนที่  สวิสเซอร์แลนด์  ผ่านทั้งหมด  7 passes และจะแวะทานข้าวกลางวัน  ที่  Stelvio pass ที่โด่งดังและสวยงามมาก  เพราะมันคือสวรรค์ของนักขับขี่ทุกอย่างเลยครับ  ไม่ว่าจะเป็น  รถยนต์  จักรยาน  มอเตอร์ไซค์  เห็นแม้กระทั่งคนเล่นสเก็ตขึ้นเขาครับมันดูทรมานร่างกายเหลือเกิน  ถอด  เสื้อใส่แค่ขาสั้นแล้วเล่นสเก็ตขึ้นเขา  มีไม้ค้ำช่วยสองข้างเพื่อพยุงตัวและค้ำยันให้ตัววิ่งไปข้างหน้า  คน  พวกนี้น่านับถือมากๆ  นักปั่นจักรยานขึ้นเขาก็น่านับถือครับ  ทั้งหญิง  ทั้งชาย  หุ่นผอมบางหรืออ้วนท้วมไม่  สำคัญปั่นขึ้นเขาคละกันไปหมดบ้างก็ปั่นบ้างก็เข็น  คนที่นี่เขาใช้ชีวิตกันจริงๆมีเป้าหมายชัดเจนในแต่ล่ะ  วันว่าจะทำอะไร  ไม่หายใจทิ้งป่าวไปวันๆ  ผมอธิบายแบบนี้คุณผู้อ่านคงพอจะนึกภาพออกนะครับว่าจริงๆ  แล้วอุณหภูมิบนนั้นจะเป็นเท่าไหร่  ก่อนเดินทางผมได้รับคำแนะนำให้เตรียมเสื้อผ้าแบบขึ้นเขาอุณหภูมิ  ระหว่าง  2-20 องศาเซลเซียส  แต่มาถึงแล้วเพิ่งทราบกันว่ามีพายุความร้อนเข้า  อากาศบนเทือกเข้าถ้าอยู่  ในแดดผมว่ามี  30กว่าองศาเซลเซียสแน่นอนร้อนตับแลบ  ดูได้จากรูปผมตอนลงจากรถนี่  เปียกยัน  กางเกงยีนส์ที่ใส่เลยครับ  ที่ต้องใส้เสื้อแขนยาวบางๆเพราะกันยูวีครับแค่นี้ก็แสบแขนแสบคอมากๆแล้ว  ร้อนจริงๆครับ  เบาะรถผมเป็นไวนิลทั้งตัวด้วย  บอกตรงๆอยากได้เบาะผ้าขึ้นมาทันที  เพราะว่าคงจะไม่ลื่น  ไม่ร้อนเท่าเบาะตัวนี้  แต่ก็ต้องสู้ครับวิถีรถคลาสสิค  เราจงสนุกกับมันต่อไป  ไฮไลท์ของวันนี้คือ  ในที่สุดกลุ่มเร็วก็หลงครับ  จริงๆแล้วแอบกังวลอยู่แล้วว่าถ้าหลงกันจะทำอย่างไร  คณะคนไทยในกลุ่มเร็วผมเชื่อว่ายังไม่มีโอกาสแลกเบอร์โทรศัพท์กันแน่ๆกับกลุ่มเพื่อนๆของ  Stefan การขับรถบนเขาใกล้ๆเที่ยงนี่รถก็เยอะ  จักรยานก็เยอะ  มอเตอร์ไซค์ก็เยอะครับ  เวลาแซงแล้วติดรถช้า  แชงยังไม่ได้ก็จะทิ้งระยะห่างกับคันหน้าจนบางทีมองไม่เห็นหลังรถคันที่เราตามอยู่เลยก็มี  แล้วแยกบางแยกของถนนบนเขามันก็กันได้ไม่ชัดไม่รู้ว่าไปทางไหนกัน  ถนนก็คดเคี้ยวขึ้นลงเขาตลอด  เลี้ยวกัน  ตลอด  เวลาจริงๆ  คนขับจึงมองไกลมากก็ไม่ได้  ทางบางช่วงก็แคบ  918 Spyder ของเต้วิ่งมาบางทีเจอรถสวน  นี่แทบต้องจอดเลยนะครับ  แต่มีคนขอถ่ายรูปรถตลอดทาง 

คนที่นี่น่าประทับใจครับ  เขาใจดีแบ่งปันซะ  ส่วนใหญ่  ใจแคบก็มีบ้างแต่เหมือนจะน้อยกว่าคนใจดีครับ  หลบให้  โบกให้  ให้ทาง  ที่นี่เขาแทบจะไม่มี  ใครขับรถทับเส้นกลางถนนกันเลยนะครับ  ไม่ว่าจะมีรถสวนหรือไม่มีรถสวนก็ไม่วิ่งตัดเลนกันเลย