GANG OF FOUR

หลังจากหลายทศวรรษของการทดลองเพื่อค้นหาต้นแบบของรถยนต์เพื่อครอบครัว ท้ายที่สุด Panamera ทำให้แนวความคิดการสร้างรถสปอร์ตหรูแบบ 4 ที่นั่งของ Porsche กลายเป็นจริง

Porsche มีความภาคภูมิใจในการเป็นผู้ผลิตรถยนต์สมรรถนะสูง แต่รถสปอร์ตมีรูปทรง และขนาดที่แตกต่าง แม้ว่าความคิดแรกของทุกคนเมื่อพูดถึงเครื่องจักรที่ทรงพลังจากซุฟเฟ่นเฮาเซ่น จะเป็นรถสไตล์ Coupe ที่มีเส้นสายพลิ้วไหวสวยงามหรือรถเปิดประทุน Cabriolet เครื่องยนต์เทอร์โบชาร์จ จนกระทั่งช่วง 2 ทศวรรษหลังที่มีโอกาสได้เห็นรูปแบบอื่นที่แตกต่างเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของผู้ผลิตรถยนต์ที่พวกเราชื่นชอบ

ลองพิจารณาว่าเป็นระยะเวลายาวนานขนาดไหนที่ Porsche ไม่มีโมเดล 4 ที่นั่งเต็มรูปแบบ (Full Four-Seater) และยิ่งน่าเหลือเชื่อหากมองย้อนกลับไปว่าเมล็ดพันธ์นี้ถูกหว่านออกไปตั้งแต่ทศวรรษ 1950 เพื่อพัฒนา Type 530 ที่ใช้พื้นฐานจากรุ่น 356 จนกลายเป็นหัวข้อถกเถียงที่น่าประหลาดใจสำหรับผู้คนที่อยู่นอกโลกของ Porsche จากความจริงที่ว่าการอยู่รอด และพัฒนาบรรดาโมเดลที่เป็นสัญลักษณ์ของบริษัทในทุกวันนี้ขึ้นอยู่กับความสำเร็จของป้ายสัญลักษณ์สตุ๊ตการ์ทที่ติดอยู่บนรถที่มีหลายประตูนับตั้งแต่ Cayenne กลายเป็นโมเดลแรกที่ปรากฏโฉมออกมา

ท่ามกลางกระแสต่อต้านจากบรรดาพวกอนุรักษ์นิยมที่มองว่า Porsche กำลังหลงทางจากแนวทางหลัก แต่ตัวเลขยอดขายที่ถล่มทลายของเอสยูวีรุ่นนี้ ทำให้มีการเปิดตัว Panamera ตามออกมา ด้วยความพยายามนำเสนอรูปแบบดั้งเดิมมากขึ้นเพื่อบรรดาผู้ภัคดีต่อแบรนด์ผ่านรูปทรงตัวถังที่ถูกยืดยาว และเส้นสายที่เกิดจากปากกาของ Michael Mauer หัวหน้าแผนกดีไซน์ Porsche ผู้เข้ามาเผชิญความท้าทายที่พิเศษในการนำ 997 มาขยายโครงสร้างตัวถัง

ในที่สุดรถยนต์นั่งขนาดใหญ่ Full Size Luxury ของ Porsche เผยโฉมออกมาในปี 2009 – ภายใต้รหัสตัวถัง 970 – โดยแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าได้รับอิทธิพลจาก H50 รถต้นแบบที่ใช้โครงสร้างของ 928 ติดตั้งประตูเปิดบานพับแบบ Suicide Doors ที่ถูกพัฒนาเพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการผลิตรถแบบสี่ประตูในปี 1987 ด้วยความร่วมมือจาก American Specialty Cars บริษัทที่เชี่ยวชาญด้านการออกแบบรถยนต์พิเศษ เพื่อทำให้ตัวถังที่ถูกขยายความยาวรองรับเครื่องยนต์ V8 ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

รวมทั้งใช้แนวทางของ 942 รถสองประตูสไตล์ Shooting-brake ในปี 1984 และ 989 รถต้นแบบสี่ประตูในปี 1988 ที่มีการนำเสนอรถยนต์เพื่อครอบครัวที่ก้าวข้ามไปอีกขั้นของ Porsche ที่มีความคล้ายกับรถสปอร์ต 996 และอาศัยแรงบันดาลใจจาก C20 915 (ที่เป็นการขยายตัวถังจาก 911 Classic) ในปี 1970 และรถต้นแบบสี่ประตู 911 S ภายใต้ขุมกำลังเครื่องยนต์ V8 4.2 ลิตร 350 แรงม้า ก่อนที่โปรเจ็กต์ 989 จะถูกยกเลิกเมื่อเกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำจนทำให้ Porsche ต้องเผชิญความท้าทายทางการเงินในช่วงต้นทศวรรษ 1990

EVOLUTION OF THE SPECIES

ความคิดที่จะสร้างรถแบบครอบครัวภายใต้ตราสัญลักษณ์สตุ๊ตการ์ทกลับมาอีกครั้งในปี 1991 ต้องขอบคุณคำแนะนำจากปรมาจารย์ด้านการออกแบบยานยนต์ชาวอิตาเลี่ยน Giorgetto Giugiaro ผลงานออกแบบ 932 ของเขาที่มีบางส่วนถูกปรับเปลี่ยนจากคอนเซ็ปต์คาร์ SEAT Proto TL และส่วนหน้าที่คล้ายรุ่น 968 จนทำให้หากมองภายนอกตัวรถมีความเป็น SEAT มากกว่า Porsche

กลายเป็นเหตุผลที่บรรดาชายในชุดสูทที่สตุ๊ตการ์ท ปฏิเสธแนวทางการออกแบบจากเจ้าสำนัก Italdesign และทำให้ไอเดียการพัฒนารถแบบครอบครัวของ Porsche ถูกพับเก็บไปอีกครั้ง จนกระทั่งเข้าสู่ศตวรรษ 2000 ในยุคที่ Wendelin Wiedeking เข้ามารับตำแหน่งประธาน และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Porsche เป็นช่วงเวลาสำคัญของบริษัทที่จะต้องมีการตัดสินใจอย่างเด็ดขาดเพื่อพัฒนาซีรีส์รถยนต์สี่ประตูสไตล์ Grand Tourer ที่สามารถสร้างกำไรมาจอดเคียงข้าง Cayenne ในโชว์รูมหลักของพวกเขา ท่ามกลางข้อมูลของแนวทางดีไซน์มากมาย คำตอบที่ได้คือรถต้นแบบ Mirage ที่จะกำหนดทิศทางของ Panamera รุ่นแรก

ในลิฟต์ที่คับแคบของตึก World Financial Center กลางมหานครเซี่ยงไฮ้ รถยนต์ที่มีความยาวที่สุดของ Porsche ถูกส่งขึ้นไปอยู่บนความสูงเหนือพื้นดิน 425 เมตร เพื่อเปิดตัวครั้งแรกต่อหน้าสื่อมวลชน ในเดือนมีนาคม 2009 ก่อนหน้าที่จะเริ่มต้นการผลิตจริงในอีก 1 เดือนให้หลัง G1 Panamera จำเป็นต้องพุ่งทะยานออกไปทันทีหลังจาก Porsche ทุ่มงบประมาณสูงกว่า 1 พันล้านยูโร (ราว 3.2 หมื่นล้านบาท) เพื่อพัฒนาโมเดลนี้ และตั้งเป้ายอดขายที่จะคุ้มทุนอยู่ที่ 20,000 คันต่อปี โดยจะใช้สายการผลิตร่วมกับ Cayenne และ Carrera GT ที่โรงงานในเมืองไลป์ซิก

เช่นเดียวกับ Carrera โมเดลที่เป็นสัญลักษณ์ของ Porsche ชื่อของ Panamera ถูกดัดแปลงจากรายการแข่งขันรถทางเรียบ Carrera Panamericana ในประเทศเม็กซิโก โดย Hans Herrmann เคยสร้างชื่อด้วยการนำรถแข่ง 550 Spyder คว้าอันดับ 3 ในปี 1954 ด้วยความยาวเกือบ 5 เมตร, ความกว้าง 2 เมตร และระยะฐานล้อ 2,920 มิลลิเมตร ทำให้ Panamera รุ่นแรกผสมผสานได้อย่างลงตัวระหว่างความหรูหรา และพื้นที่ห้องโดยสารที่สะดวกสบาย พร้อมขุมกำลัง V8 เครื่องยนต์ 4,806 ซีซี ในรุ่นขับเคลื่อนสองล้อ S และขับเคลื่อนสี่ล้อ 4S ที่มีกำลังสูงสุด 400 แรงม้า ในขณะที่ Panamera Turbo ติดตั้งเทอร์โบชาร์จคู่จะเพิ่มฝูงม้าเข้ามาอีก 100 ตัว

หากรู้สึกสงสัยในความใหญ่โตของรถ, เครื่องยนต์วางหน้า และระบบขับเคลื่อนล้อหลังของ Porsche ที่มีชื่อเสียงมายาวนาน ความเร็วสูงสุดของรุ่น Turbo จะทะลุ 303 กิโลเมตร/ชั่วโมง และใช้เวลา 4.2 วินาที พุ่งทะยานจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง แต่ในความจริงลูกค้าที่ซื้อไม่ต้องการรับฟังรายละเอียดที่ยืดยาว ทำให้เพียงแค่ช่วงเดือนธันวาคม 2009 หรือ 3 เดือนหลังจากเริ่มต้นการผลิต Panamera คันที่ 10,000 ออกจากโรงงานที่ไลป์ซิก และฉลองคันที่ 25,000 ในอีก 7 เดือนต่อมา นับเป็นความสำเร็จที่เกิดขึ้นเร็วกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้

ความน่าตื่นเต้นของเทคโนโลยีที่อยู่ในโมเดลนี้รวมถึงระบบช่วงล่าง Adaptive Air Suspension พร้อมตัวเลือกระหว่างเกียร์ธรรมดา 6 สปีด หรือระบบเกียร์คลัตช์คู่ 7 สปีด Porsche-Doppelkupplungsgetriebe (PDK) โดยทุกรุ่นย่อยของ Panamera วัดค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศ (Drag Coefficient) อยู่ที่ 0.29 เท่ากับรุ่น 997 ด้วยการติดตั้งสปอยเลอร์แบบ 2 ทิศทางบริเวณใต้กระจกหลังที่จะเปิดขึ้นมาอัตโนมัติเมื่อขับด้วยความเร็วสูงกว่า 90 กิโลเมตร/ชั่วโมง ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพแอร์โรไดนามิกของตัวรถ แต่หากใครต้องการสมรรถนะที่สูงขึ้นสามารถเลือกติดตั้งชุด Sport Chrono และในรุ่น Turbo จะติดตั้งปีกแบบ 4 ทิศทางเพื่อสร้างแรงกดดัน Downforce สู่ตัวรถมากขึ้น 

  ในรุ่นตัวแรงสุดของเจเนอเรชั่นแรก Turbo S ที่เปิดตัวในปี 2011 จะมีกำลัง 543 แรงม้า ทำความเร็วแตะ 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในเวลา 3.8 วินาที หากใช้ระบบช่วยออกตัว Launch Control ป้ายตัวอักษร S ต่อท้ายชื่อรุ่น Turbo มาพร้อมพลังที่สูงขึ้นจากการพัฒนาเทอร์โบชาร์จที่มีขนาดใหญ่, ลูกสูบผลิตจากอะลูมิเนียมอัลลอย และหัวฉีดน้ำมันความดันสูง เพื่อรองรับแรงบิดอันมหาศาล 553 ปอนด์ฟุต (750 นิวตันเมตร) โดยสามารเพิ่มเป็น 590 ปอนด์ฟุต (800 นิวตันเมตร) ด้วยการติดตั้งชุด Sport Chrono – สัญลักษณ์ S เป็นเครื่องพิสูจน์ความเป็น Porsche ที่แท้จริงของ Panamera ทั้งความลงตัวของการใช้งานแบบครอบครัว และความเร้าใจในการขับขี่

  POWER OF HINDSIGHT

สำหรับคนที่ชอบการขับที่ผ่อนคลาย เครื่องยนต์ 3.6 ลิตร V6 300 แรงม้า ถูกนำมาใช้งานกับ Panamera และ Panamera 4 ที่ถูกเพิ่มเข้าสู่ไลน์อัพในปี 2011 รวมทั้งเครื่องยนต์ดีเซล 3.0 ลิตร 250 แรงม้า ที่มีอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในเวลา 6.8 วินาที จนทำให้แฟนพันธ์แท้มองว่า Porsche กำลังหลงทางอย่างรุนแรงกับการให้รถของพวกเขาใช้เชื้อเพลิงดีเซล

แต่สิ่งนี้เป็นเรื่องที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ บรรดาผู้บริหารระดับสูงของฝั่งโรงงานมองว่าการตัดสินใจครั้งนี้มีความสำคัญต่อการอยู่รอดของแบรนด์จากการที่ทั้งโลกกำลังพยายามให้ความสำคัญกับสภาพแวดล้อมที่ได้รับผลกระทบจากไอเสียที่มาจากก๊าซคาร์บอน การเลือกป้อนดีเซลให้ Panamera เป็นความก้าวหน้าในเชิงบวกของ Porsche ที่สามารถพิสูจน์ให้เห็นว่ารถสปอร์ตของพวกเขายังสร้างสมรรถนะสูงสุดได้เหมือนเดิมถึงจะเป็นชนิดน้ำมันที่แตกต่าง รวมทั้งเป็นการแสดงให้เห็นความรับผิดชอบต่อสังคมจากฝั่งผู้ผลิต แต่ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นก่อนคดีโกงค่าไอเสียอันแสนอื้อฉาว Dieselgate…

ทำให้เส้นทางที่ไม่ราบรื่นของ Panamera Diesel ถูกแทนที่ด้วย S Hybrid ที่มีกำลัง 375 แรงม้า ด้วยการหยิบยืมเทคโนโลยี Parallel Hybrid ของ Audi บริษัทร่วมเครือเข้ามาติดตั้ง กลายเป็นระบบขับเคลื่อนผสมระหว่างน้ำมันเบนซินกับไฟฟ้าเหมือนใน Cayenne S Hybrid แต่ถึงอย่างนั้น Panamera รุ่นอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม สามารถทำความเร็วสูงสุด 270 กิโลเมตร/ชั่วโมง และใช้เวลา 5.8 วินาที ทำความเร็วจากตำแหน่งหยุดนิ่งสู่ 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ด้วยการส่งกำลังร่วมระหว่างเครื่องยนต์ซูเปอร์ชาร์จ 3.0 ลิตร V6 328 แรงม้า และมอเตอร์ไฟฟ้าที่มีกำลังสูงสุด 46 แรงม้า/34 กิโลวัตต์ชั่วโมงที่ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่นิเกิ้ลเมทัลไฮไดร์ดขนาด 1.7 กิโลวัตต์ชั่วโมง มีอัตราปล่อยไอเสียเพียง 159 กรัม/กิโลเมตร เพียงพอที่จะทำให้เป็นรถที่ใช้พลังบริสุทธิ์ที่สุดของ Porsche พร้อมครองตำแหน่งรถไฮบริดที่เร็วที่สุดในช่วงเวลานั้น

ถึงจะเป็นการตัดสินใจที่แตกต่างจากแนวทางดั้งเดิมของแบรนด์ แต่ในที่สุด S Hybrid วางรากฐานสู่การพัฒนารถยนต์พลังงานไฟฟ้าแบบ 4 ประตูของ Porsche จนกลายเป็น Taycan ที่กำลังผลิตขายในปัจจุบัน โดยเป็นการพัฒนาจากคอนเซ็ปต์คาร์ Mission E ที่เปิดตัวครั้งแรกในงานแฟร้งค์เฟิร์ต มอเตอร์โชว์ 2015

โมเดล S Hybrid อาจจะถูกใจบรรดาผู้มีความรักอิสระ แต่ Porsche ไม่เคยลืมกลุ่มลูกค้าหลักผู้ภัคดี จนทำให้ปี 2012 มีการแนะนำ Panamera GTS ที่ถูกวางตำแหน่งให้อยู่รองจากรุ่น Turbo ตามลำดับขั้นของสมรรถนะความแรง โดยมีการใส่ความเป็นสปอร์ตมากขึ้นกว่ารุ่น S กลายเป็นเครื่องจักรความแรง 424 แรงม้า และให้อารมณ์การขับที่ดุดัน ด้วยการเปลี่ยนชิ้นส่วนที่เป็นสีเงินโครเมียมให้กลายเป็นโทนสีดำล้วน เสียงกระหึ่มของท่อไอเสียสไตล์สปอร์ต ด้วยความแตกต่างจากสมาชิกครอบครัว Panamera ทำให้ราคากระโดดขึ้นไปอยู่ที่ 91,239 ปอนด์ แต่ก็ไม่ได้ทำให้ลูกค้าของพวกเขาลังเลที่จะตัดสินใจซื้อ

ความเปลี่ยนแปลงในปี 2013 ทำให้ New Panamera ก้าวไปข้างหน้ามากยิ่งขึ้นภายใต้ชื่อรุ่นย่อยใหม่ Executive เพื่อเสริมจุดแข็งของโมเดลนี้ และขยายความสำเร็จในประเทศจีน ด้วยการขยายฐานล้อเพิ่มเป็น 3,070 มิลลิเมตร โดยเลือกขายเฉพาะประเทศที่ขับรถพวงมาลัยซ้าย เป็นส่วนหนึ่งของแผนการปรับภาพลักษณ์ของ Panamera ที่มีการปรับดีไซน์ด้านหน้า และชุดกันชนท้ายใหม่

การอัพเดตครั้งนี้ทำให้รุ่นเริ่มต้นมีกำลังเพิ่มเป็น 306 แรงม้า โดย Turbo S กับ Turbo S Executive จะมีกำลังสูงสุด 562 แรงม้า และแรงบิด 590 ปอนด์ฟุต เรียกว่าสูสีกับ 2 คู่แข่งสำคัญ Mercedes-Benz CLS 63 AMG และ Aston Martin Rapide S ทำความเร็วสูงสุด 310 กิโลเมตร/ชั่วโมง พร้อมติดตั้งเบรกเซรามิค ทำให้ Turbo S สร้างสถิติอัตราเร่งทะลุ 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในเวลา 3.6 วินาทีเกือบจะเร็วเท่ากับ 997 GT2 RS เลยทีเดียว ในรุ่น S E-Hybrid 416 แรงม้า ระบบเสียบปลั๊กชาร์จทำให้สามารถขับด้วยโหมดไฟฟ้าเป็นระยะทาง 32 กิโลเมตร ลดค่าไอเสียเหลือ 71 กรัม/กิโลเมตร และอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง 3.1 ลิตร/100 กิโลเมตร

ในรุ่นเครื่องยนต์ใหม่ทวินเทอร์โบชาร์จ 3.0 ลิตร V6 ที่มีพลังสูงสุด 414 แรงม้า จะอยู่ในรุ่น S และ 4S ทำให้ GTS  (โมเดลปัจจุบัน 434 แรงม้า) กลายเป็น Panamera รุ่นเดียวที่ใช้เครื่องยนต์ใหญ่ 8 สูบ อีกหนึ่งรุ่นพิเศษของเจนเนอเรชั่นแรกรวมถึง Platinum Edition ปี 2012, Panamera Exclusive Series ปี 2014 และ 2015 ที่มีเพียง 100 คันเท่านั้น แต่หลังจากรหัสตัวถัง 970 ถูกสร้างครบ 150,000 คัน เจเนอเรชั่นใหม่ G2 Panamera ได้รับการเผยโฉมครั้งแรกที่เบอร์ลิน ในวันที่ 28 มิถุนายน 2016 ด้วยตัวถังที่กว้าง และยาวขึ้น ทำให้ระยะฐานล้อยาวกว่าเดิม 30 มิลลิเมตรหากเทียบกับรุ่นก่อน โดย 971 จะให้ความรู้สึกสปอร์ตมากขึ้นโดยเฉพาะส่วนท้ายที่ได้รับอิทธิพลจากโมเดล 911 แทนที่จะเป็นท้ายลาดสไตล์ Hatchback เหมือนกับ 970 รวมทั้งติดตั้งแถบไฟท้าย LED พาดยาวเหมือนกับ 992 มีการกำหนดสัดส่วนตัวถังที่ลงตัวมากขึ้นอย่างที่ลูกค้าเก่าของ Porsche คาดหวังจากตราสัญลักษณ์ของค่ายนี้

ภายในของ 970 ยังคงใช้แนวทางออกแบบเป็นเส้นตรงแนวราบเหมือนเดิม แต่เพิ่มความพิเศษกับระบบดิจิตัล Porsche Advanced Cockpit ติดตั้งหน้าจอแสดงข้อมูลบริเวณคนขับขนาด 7 นิ้ว และจอควบคุมตรงกลางแบบทัชสกรีนรองรับการใช้งานสมาร์ตโฟนขนาด 12.3 นิ้ว รวมทั้งสร้างสมดุลระหว่างเทคโนโลยีใหม่กับธรรมเนียมที่สืบทอดมายาวนานของ Porsche ด้วยการออกแบบหน้าจอแสดงรอบเครื่องยนต์ที่ได้แรงบันดาลใจจากรุ่น 356 A ในปี 1955

  ก่อนจะเปิดตัว 4S, 4S Diesel และรุ่นยอดนิยมกลุ่ม Turbo ตามมา โดยเจเนอเรชั่นใหม่ของ Panamera จะใช้ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อเท่านั้น (โมเดล ปี 2017 เครื่องยนต์ V6 325 แรงม้า ระบบขับเคลื่อนล้อหลังที่ถูกนำมาขายใหม่ตั้งราคาไว้ 66,386 ปอนด์) โดย 4S Diesel กำลังจะลดลงเหลือ 416 แรงม้า, 4S จะมีกำลังเท่ากับ G1 GTS 434 แรงม้า และรุ่น Turbo จะมีกำลัง 542 แรงม้า ติดตั้งเกียร์ 8 สปีด PDK II ติดตั้งเป็นมาตรฐานในทุกรุ่น แต่ระบบควบคุมกระบอกสูบ Adaptive Cylinder Control จะสามารถสั่งหยุดการทำงานให้เหลือเพียง 4 สูบ ในการขับที่ไม่ใช่ความเร็วสูง

สำหรับรุ่น Turbo สร้างข่าวพาดหัวในฐานะรถซีดานที่ทำเวลาต่อรอบในสนามนูร์เบิร์กริงต์ได้เร็วที่สุดหลังจากทำเวลาในการขับทดสอบได้ 7 นาที 38 วินาที เท่ากับ Lamborghini Gallardo LP570-4 Superleggera, Chevrolet Corvette C6 ZR1, Nissan R35 GT-R และแน่นอน 997 Turbo เมื่อทั้ง 2 โมเดลขับภายใต้สถานการณ์เดียวกัน

ระบบช่วยเลี้ยวล้อหลังใหม่ Rear Axle Steering และระบบควบคุมตัวถังไฟฟ้า 4D Chassis Control ช่วยเพิ่มความมั่นใจในการควบคุม G2 Panamera มากยิ่งขึ้น และ Sport Response Button ที่จะทำให้คุณปลดปล่อยพลังทั้งหมดของรถคันนี้ออกมาเพียงแค่กดปุ่มเดียว! และน้ำหนักที่ลดลงจากการใช้วัสดุอลูมิเนียมเพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับ 970 สปอยเลอร์หลังถูกซ่อนเก็บอัตโนมัติเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของระบบแอร์โรไดนามิก ส่วนในรุ่น Executive ความยาวฐานล้อถูกเพิ่มขึ้นเป็น 3,100 มิลลิเมตร

TAKING CHARGE

Panamera 4 E-Hybrid เปิดตัวครั้งแรกที่งานปารีส มอเตอร์โชว์ 2017 มีกำลังขับเคลื่อนสูงสุด 456 แรงม้า จากการทำงานร่วมระหว่างเครื่องยนต์ V6 325 แรงม้า และมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 134 แรงม้า/100 กิโลวัตต์ อัตราการปล่อยไอเสียที่ต่ำ 56 กรัม/กิโลเมตร สามารถขับด้วยพลังงานไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวได้ไกลถึง 31 ไมล์ (50 กิโลเมตร) รวมทั้งอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในเวลาเพียง 4.6 วินาที โดยรุ่นยอดนิยม Turbo S E-Hybrid มีกำลังสูงสุด 671 แรงม้า กลายเป็นความลงตัวระหว่างสมรรถนะกับความประหยัด หากมองจากการเป็น Panamera ที่ทรงพลังที่สุดในเวลานี้

  ในปีเดียวกันนั้น Porsche ส่งอีก 1 รุ่นย่อย Panamera Sport Turismo ออกมา หลังจากเคยแนะนำในฐานะรถต้นแบบที่ใช้ชื่อเดียวกันเมื่อปี 2012 โดยเวอร์ชั่นตัวถังสไตล์ Shooting-brake ยังคงเอกลักษณ์กระจกขนาดใหญ่เป็นพื้นฐานหลักในทุกรุ่นของ Panamera ไม่ว่าจะเป็นตัวถังแบบใดก็ตาม เป็นเรื่องมหัศจรรย์กับพลัง 671 แรงม้าของ Turbo S E-Hybrid Sport Turismo ที่กลายเป็นรถแบบ Estate ที่ผลิตขายจริงที่ทรงพลังที่สุดเหนือกว่า Mercedes-AMG E63 S ที่มีกำลัง 671 แรงม้า และ Audi RS6 Performance 597 แรงม้า เราไม่ควรพูดพาดพิงคู่แข่ง แต่อดไม่ได้ที่จะบอกว่ายังไง Porsche มีความน่าตื่นเต้นมากกว่าจริงๆ

  จากนั้นช่วงต้นปี 2019 Panamera GTS V8 ขุมกำลังทวินเทอร์โบชาร์จ 454 แรงม้า ปรากฏตัวอย่างเป็นทางการ แต่โมเดลที่ Porsche ต้องการพูดถึงมากที่สุดในตอนนี้คงจะเป็น 10 Years Edition ที่เพิ่งเปิดตัวเมื่อไม่นานนี้ โดยมีการเพิ่มอุปกรณ์ที่ติดตั้งเป็นมาตรฐานนอกเหนือจากประสิทธิภาพที่ยอดเยี่ยมของโครงสร้างตัวถัง และความสะดวกสบายของผู้โดยสาร รวมทั้งความเอ็กซ์คลูซีฟติดตั้งล้อขนาด 21 นิ้ว Sport Design โทนสี Satin-gloss White Gold Metallic พร้อมตราสัญลักษณ์ ‘Panamera 10’ บริเวณประตูหน้า และภายในห้องโดยสาร โดยมีให้เลือกในรุ่น 4 และ 4 E-Hybrid (และ Sport Turismo ที่มีการตัดอุปกรณ์บางอย่างแต่ใช้เครื่องยนต์ตัวเดียวกัน)

สำหรับ 10 Years Edition มีการเพิ่มระบบหลังคากระจกพาโนรามิก, กระจกตัดแสง Privacy Glass, เบาะนั่งปรับระดับ 14 ทิศทางพร้อมระบบปรับอุณหภูมิ, ระบบประตูดูด Soft-Close, ชุดเครื่องเสียงรอบทิศทาง BOSE, ไฟหน้า LED Matrix พร้อมด้วย Porsche Dynamic Light System Plus (PDLS+), ระบบช่วยเปลี่ยนช่องจราจร Lane Change Assist และระบบช่วยรักษาช่องทางเดินรถ Lane Keeping Assistant พร้อมด้วยระบบอ่านป้ายสัญญาณจราจร Traffic Sign Recognition และระบบช่วยจอดพร้อมกล้องมองหลัง

  ในขณะที่โลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากจากทศวรรษที่แล้ว แต่ความต้องการ Panamera ไม่ได้ลดลง โดยความสำเร็จส่วนใหญ่ของโมเดลนี้อยู่ในประเทศจีนที่ปัจจุบันกลายเป็นตลาดส่งออกใหญ่ที่สุดของ Porsche ในปีงบประมาณ 2018 ยอดสั่งซื้อของ Panamera ขยายตัวสูงถึง 38 เปอร์เซ็นต์ และที่สำคัญมากกว่า 60 เปอร์เซ็นต์ของ Panamera ที่ออกจากโรงงานผลิตในเมืองไลป์ซิก เมื่อปี 2017 เป็นรุ่นไฮบริด แสดงให้เห็นว่าผู้ซื้อรถให้ความสำคัญกับผลกระทบจากการมลพิษของรถยนต์มากขึ้น

ไม่ว่าจะเลือกมองมุมใด ทุกคนคงจะไร้ข้อสงสัยใน Panamera โมเดลที่ทำให้ Porsche ประสบความสำเร็จกับการผลิตรถสไตล์ Grand Tourer แบบสี่ที่นั่ง หลังจากฝ่ายออกแบบ และทีมวิศวกรของพวกเขาทุ่มเทความพยายามมายาวนานหลายปี

Share

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *