MEXICAN MAGIC – THE VAULT

สำหรับวงการกีฬาแข่งรถแล้ว ความสำเร็จคือถ้วยรางวัล แต่ทุกครั้งทุกคราวก็ปรากฎว่าการแข่งแต่ละครั้งไปได้ไกลกว่าแค่ตู้ที่เต็มไปด้วยถ้วยรางวัล…….

การแข่งขัน 24 Hours Le Mans ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่าเป็นดาวเด่นในเรื่องราวความสำเร็จของ Porsche แต่ก็มีรายการแข่งที่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักกันมากนักทั้งที่มันมีส่วนในมรดกตกทอดที่ยืนยาวของบริษัทซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของพวกเรา อย่างเช่นการแข่งขัน Targa Florio แบบ endurance ที่ได้ทิ้งรอยอันเป็นอมตะในพอร์ตสินค้า ด้วยการเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดเป็นรถชื่อดัง ในปัจจุบัน หรือ อย่างเช่น Carrera Panamericana เป็นการแข่งขัน road race ที่เม็กซิโก จัดขึ้น  5 ปีซ้อนในช่วงกลางศตวรรษที่แล้ว

เป็นการแข่งบนถนน 5 วันบนเส้นทาง Pan-American Highway ที่ใหญ่โตโอฬาร รายการแข่ง Carrera Panamericana เริ่มครั้งแรกในวันที่ 5 พฤษภาคม 1950 แม้เงินรางวัลเงินสดมากพอสมควรสำหรับผู้ชนะ แต่เหยื่อล่อใจที่ทำให้ค่ายผู้ผลิตรถสปอร์ตระดับบิ๊ก ทนความเย้ายวนไม่ได้จนต้องกระโดดเข้าร่วมการแข่งขัน คือความเปี่ยมพลังที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นท้าทายและการได้ประชาสัมพันธ์เชิงบวกเพียงแค่เข้าร่วมการแข่ง ทำให้ทางไป Grid คลาคล่ำไปด้วยนักแข่งรถชื่อดังระดับโลกกระทบไหล่กับนักแข่งสมัครเล่นท้องถิ่น

ผู้จัดตั้งใจให้เป็นทางเลือกที่สมน้ำสมเนื้อกับกิจกรรรมการแข่งในยุโรปที่อยู่ตัวแล้ว รายการ Carrera Panamericana เป็นที่รับรู้อย่างกว้างขวางว่าเป็นการแข่งขันที่อันตรายที่สุดในการแข่งแบบเดียวกัน จากเส้นทางเนินที่ท้าทายและการเปลี่ยนระดับความสูงแบบฉับพลัน แถมด้วยป่าเปลี่ยวที่ช่วยเพิ่มความเสี่ยงให้กับเส้นทางยาว 2,178 ไมล์ ซึ่งได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของแรงดึงดูดนักแข่งมากประสบการณ์ ทั้งชายและหญิงที่ต้องการท้าทายตัวเอง ทำให้มีนักแข่งรถชั้นนำจากการแข่ง Formula One หรือ NASCAR ทั้งแบบ hill climb แบบ drag racing และ rallying เข้าร่วมรายการ ทั้งที่กฎการแข่งขันจะจำกัดชนิดของรถที่จะเข้าร่วมแข่งในช่วงทศวรรษ 1950 ให้เป็นแค่รถซีดาน 5 ที่นั่ง

DETERMINED TO WIN

Alfa Romeo ผลิตรถใหม่โดยเฉพาะขึ้นเพื่อใช้เข้าร่วมในการแข่งขันครั้งแรกของรายการ Carrera Panamericana เป็นความเคลื่อนไหวที่เปิดทางให้มีการยอมรับรถสปอร์ตให้เข้าร่วมการแข่งขันได้ในปี 1951 ผลที่ได้คือ Ferrari 212 Inter Vignale เข้าเส้นชัยเป็นอันดับหนึ่ง เป็นความสำเร็จที่ช่วยยกระดับโปรไฟล์ของการแข่งขันขึ้นไปอีก ทำให้สามารถกำหนดเป็นรายการลงปฏิทินการแข่งขันระดับนานาชาติสำหรับปี 1952 ล่วงหน้าได้เลย และ Mercedes-Benz ต้องการมีส่วนร่วมในการแข่งขัน ส่งผลให้มีการส่ง 300 SL 3 คันลงสนาม และปีเดียวกันนี้เองที่มีการระดมส่งสัญญาณให้ Porsche เข้าร่วม

ตอนนั้น 356 ได้แสดงฝีมือแล้วว่าสามารถเอาชนะในการแข่งขันได้ ต้องขอบคุณชัยชนะในระดับ 1,100 ซีซี ที่ Le Mans ในปี 1951 ซึ่งนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา Porsche และการแข่งขันมอเตอร์สปอร์ตก็เชื่อมต่อสัมพันธ์กัน และสำหรับในต่างประเทศ วัฒนธรรมรถยนต์ของอเมริกันก่อให้เกิดกองทัพนักแข่งในระดับของสมาคมและกระตุ้นให้เกิดภาพความกระตือรือร้นในการแข่งรถ ทำให้ Porsche เห็นโอกาสในการเพิ่มยอดขายจากการทำกิจกรรมตรงนี้ และด้วยภาพคนขับรถ Porsches คันเล็กพุ่งผ่านเส้นทางต่าง ของรัฐ ขณะที่ได้เย้าแหย่รถที่มีขนาดใหญ่กว่า มันชัดเจนว่าบริษัทจำเป็นต้องไปปรากฎตัวในรายการ Carrera Panamericana

การเปลี่ยนกฎข้อบังคับสำหรับการแข่งในปี 1952 รวมทั้งการแบ่งการแข่งเป็นประเภท Stock และ Sports เพื่อความเสมอภาคกัน ให้ความมั่นใจได้ว่ารถยุโรปขนาดเล็กไม่ต้องแข่งกับรถ 4 ประตูคันใหญ่ของอเมริกัน นอกจากนั้นยังมีการยกระดับการแข่งให้เป็นรอบสุดท้ายของรายการ World Sportscar Championship ทำให้รถ 356 Super คู่หนึ่งพุ่งออกจากจุดสตาร์ต คันหนึ่งมี Herbert Linge ผู้เป็นเสมือนไฟส่องสว่างทางด้านเทคนิคของ Porsche นั่งเป็นผู้ขับร่วมและช่าง แต่สุดท้ายรถที่มีสัญลักษณ์ดาวสามแฉก ครองสนามได้ทั้งอันดับ 1 และ 2 และความจริงอันดับ 3 ก็เป็น SL แต่โดนตัดสิทธิ์เพราะการซ่อมรถผิดกฎในวันก่อนวันสุดท้ายของการแข่งขัน เป็นคำตัดสินที่ทำให้นักแข่งค่ายเบนซ์ไม่ได้กวาดอันดับ 1-2-3 ไปครองโดยสมบูรณ์

รถ 356 Super Cabriolet ที่ขับโดย Prince Paul Alfons von Metternich-Winneburg เจ้าชายนักแข่งรถที่ภายหลังผันตัวไปเป็นประธานของ FIA ในปี 1975 ชนะที่ 8 ในประเภท Sports เป็นสิ่งกระตุ้นที่เพียงพอให้ Porsche กลับไปลงสนามแข่งที่เม็กซิโกต่อในปี 1953 เป็นปีที่มีรถแข่งสร้างสรรค์โดยผู้ผลิตจากเมือง Stuttgart ไม่ต่ำกว่า 10 คันเรียงรายอยู่บน Grid  คู่หนึ่งเป็น 550 Spyders ส่งเข้าประชันโดยบริษัท คันหนึ่งมีคนขับคือ Karl Kling ผู้ชนะการแข่ง Carrera Panamericanaในปีก่อนหน้า ทั้งหมดวิ่งเป็นขบวนต่อหน้าผู้ชมการแข่งขัน โชคไม่ดีที่ Kling ไปไม่ถึงเส้นชัยจากปัญหาเพลาพัง ขณะที่ 550 อีกคัน ขับโดยดาวเด่นของบริษัทคือ Hans Herrmann ประสบกับอุบัติเหตุ เหลือแต่พวกกลุ่มอิสระที่แสดงฝีมือ

DEADLY AMBITION

อดีตนักแข่ง Le Mans 550  ของดีลเลอร์ Porsche ในประเทศกัวเตมาลา นาย Jaroslav Juhan มีผลงานดีในการแข่ง นำหน้าคู่แข่งในประเภท Sports มีความหวังจนกระทั่งเกิดปัญหาเครื่องยนต์ขัดข้องสร้างความผิดหวังให้กับพรรคพวกชาวกัวเตมาลา และ Jose Harrarte คนขับ 550 Coupe ชนะที่ 1 ในประเภทนี้และ 30 วินาทีในโอเวอร์ออล ด้วยเวลา 23:57:04 อย่างไรก็ดี หัวข่าวพวกนี้โดนบดบังด้วยข่าวการเสียชีวิตของผู้ชม ที่โดนรถ Ford 6 ของ Mickey Thompson (ฮีโร่ของสนาม Bonneville Salt Flats และยางประสิทธิภาพสูงชื่อดัง) พุ่งชน จากเหตุรถชนตรงจุดเดียวกับที่ Ford 6 คันที่ Bob Christie เกิดเหตุไปก่อนหน้านั้นไม่นาน ผู้ชมที่แห่ไปมุงดูการช่วยเหลือ Christie และผู้ขับร่วม Kenneth Wood พลาดไปอยู่ในจุดที่อยู่บนเส้นทางรถของ Thompson ที่กำลังมีปัญหาเรื่องเบรก รถพุ่งเข้าไปชนตลิ่งทางและทำให้คนเสียชีวิตไป 6 คน เพิ่มยอดรวมผู้เสียชีวิตจากการแข่งครั้งนั้นเป็น 9 คนอีก 3 คนเป็นนักแข่งชาวอิตาเลี่ยน Felice Bonetto, Antonio Stagnoli และ Giuseppe Scottuzi ที่ล้วนเสียชีวิตจากการพุ่งชนสิ่งก่อสร้างในความเร็วสูง

สำหรับการแข่ง Carrera Panamericana ในปี 1954 ซึ่งมีการยกระดับความเป็นมืออาชีพสูงขึ้น Porsche รวบรวมมือดีที่ถูกมองว่าเป็นกองกำลังที่มุ่งเอาชัย Hans Herrmann โดนเรียกเข้าประจำการอีกครั้งเพื่อให้นำรางวัลแห่งชัยชนะกลับ Stuttgart โดยการเปิดตัว 550 Spyder เวอร์ชันยกเครื่องใหม่ มีการปรับเปลี่ยนระบบกันสะเทือนหลังและเครื่องยนต์ตัวใหม่ การเปิดตัวของเครื่อง Type 547 four-cam flat-four ออกแบบโดย Fuhrmann ซึ่งภายหลังเรียกว่า Carrera powerplant ทำให้ Herrmann เข้าเส้นชัยเป็นที่ 1ในประเภท 1,500 ซีซี แต่ได้ที่ 3 โอเวอร์ออล ปล่อยให้ Ferrari 375 เฉือนที่ 1 และที่ 2 ไป และแม้ด้วยสมรรถนะที่ดี Juhan จบในตำแหน่งที่ 4 ในรถ 550 Spyder อีกคัน ซึ่งเป็นผลงานที่ไม่ใช่ได้มาอย่างราบรื่นนักสำหรับ Porsche รถมาถึงเม็กซิโกช้าและ Herrmann ก็ต้องต่อสู้กับอาการไข้ นักแข่งชาวเยอรมันผู้ไม่เชื่อเรื่องเหล้ายาดองชูกำลัง ต้องข่มใจกระดกยาตำรับอเมริกาใต้ราคาแพงที่มีส่วนผสมของน้ำผึ้งและเหล้าคอนยักครึ่งลิตรราดด้วยนม โชคดีที่ยาได้ผล ทำให้รถ 550-04 เข้าสู่จุดสตาร์ต พร้อมด้วยนักแข่งชื่อดังของบริษัทที่อยู่ในสภาพพร้อม

Linge เป็นช่างเครื่องและอาวุธลับสำคัญของ Stuttgart เมื่อ Herrmann ประสบปัญหาในช่วงต้นของการแข่ง รวมทั้งปัญหาเครื่องสตาร์ตไม่ติดและดอกยางรถที่พัฒนามาใหม่เริ่มแตก แต่ด้วยสติปัญญาอันไม่สิ้นสุดของ Linge ทำให้เขาเล็งที่ตั้งของร้านยางระหว่างเส้นทางแข่งไว้ล่วงหน้า Herrmann ควบรถด้วยยางเสื่อมสภาพระยะ 70 กิโลเมตร กว่าจะถึงร้านยาง จากจุดนั้นเป็นต้นไป รถก็พุ่งไปข้างหน้าได้เต็มพิกัด เอาชนะรถคันที่ใหญ่กว่า 2 เท่า 550 Spyder ได้ที่ 3 โอเวอร์ออลและที่ 1 ในประเภทเดียวกันด้วยความเร็วเฉลี่ย 97.63 ไมล์ต่อชั่วโมง และด้วยเวลา19:32:33 โรดสเตอร์ด้วยเครื่องยนต์ใหม่คันนี้ยิ่งกว่าเหมาะที่จะใช้แข่งในรายการใหญ่ Juhan เข้าเส้นชัยเป็นคันที่ 4 รถ 550 คันของเขาและของ Herrmann เคียงข้างกันเข้าเส้นชัย

CELEBRATING INNOVATION

ผู้ชนะรายต่อไป Umberto Maglioli จะขับ 550 A RS Spyder เปิดศักราชให้ Porsche ชนะ Targa Florio ในอีก 2 ปีต่อมา แต่ก่อนที่นักแข่งชาวอิตาเลี่ยนจะนำชัยชนะจากการแข่งขันที่ Sicily มาให้ ชัยชนะที่ 1954 Carrera Panamericana ถือเป็นชัยชนะในการแข่งขันระหว่างประเทศที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับ Porsche รถ 550 คันที่เอาชนะยักษ์มาได้นั้นคงไม่มีใครที่ไม่สังเกตเห็นเพราะ Porsche ยอมรับการเปลี่ยนแปลงจากประเพณีปฏิบัติเดิม โดยการอนุญาตให้ติดโลโก้ของสปอนเซอร์ที่ตัวรถแต่ละคันด้วยการระบายสีด้วยมือบนแบบลายฉลุที่ด้านข้างตัวรถทำให้เห็นแบรนด์ของ Fletcher Aviation Telefunken และ Castrol เด่นสะดุดตาอยู่บนตัวรถ Fritz Huschke von Hanstein ผู้มีฉายาว่า Racing Baron ผู้จัดการฝ่ายประชาสัมพันธ์และเจ้านายใหญ่ของฝ่ายมอเตอร์สปอร์ตของ Porsche เป็นคนดึงแบรนด์ต่าง มาสนับสนุนรถ 550 ทั้ง 2 คันเป็นโอกาสในการโปรโมตสินค้า ซึ่งไม่ใช่แค่เปิดหนทางใหม่ ให้กับบริษัทตัวเองเท่านั้น แต่ยังเป็นการเปิดศักราชใหม่ให้กับวงการแข่งรถโดยรวม เพราะก่อนหน้านี้ไม่มีการคิดถึงวิธีการโฆษณาบนตัวรถแข่งกันอย่างจริงจังมาก่อน

หนึ่งใน 356 สองคันที่เข้าร่วมในการแข่งปี 1952 แต่ละคันมี Herbert Linge เป็นคนดูแลในตำแหน่งหัวหน้าฝ่าย spanner-wielder / ชื่อ Carrera Panamericana ฟื้นขึ้นมาอีกครั้งในปี 1988 เมื่อมีการจัดการแข่งประจำปี แรลลี่ 7 วันระยะทาง 2,000 ไมล์ในบางเส้นทางแข่งดั้งเดิม สิ่งที่เป็นแม่เหล็กดึงดูดของรายการคือ การปิดทางหลวงช่วงยาว ๆ ให้วิ่งกันได้เต็มสปีด

น่าเศร้าที่เมื่อรถวิ่งได้เร็วขึ้นและการแข่งขันทวีความดุเดือดยิ่งขึ้น ชื่อเสียงกีฬาแห่งความตาย หมายถึงรายการ Carrera Panamericana ได้ชัยชนะ ทำให้จัดแข่งได้แค่ 5 ครั้งก็ประสบความสำเร็จในสถิติการเสียชีวิตต่อครั้งมากที่สุด อย่างไรก็ดีถือว่าเป็นรายการที่สามารถดึงดูดนักแข่ง รวมทั้งแชมป์ของ Formula One อย่าง Juan Manuel Fangio, AbertoAscari, Phil Hill และผู้ติดตามชมได้อย่างน่าทึ่งกว่า 2 ล้านคน Carrera Panamericana ได้รับการพิสูจน์ว่ามีส่วนสำคัญในประวัติศาสตร์ของ Porsche ทำให้เกิดชื่อรุ่นเด่น ของรถยอดนิยมที่บริษัทผลิตขึ้นหลายต่อหลายรุ่น จากรถแต่ง 356s ไปจนถึง Carrera GT ชึ่งน่าจะกล่าวได้ว่าเหตุการณ์ที่ชื่อนี้ทำให้ระลึกย้อนไปถึงนั้นแน่นอนว่าเป็นอะไรที่แหกคอกไปบ้าง

WHAT’S IN A NAME?

ในประเทศสเปน Carrera แปลว่าอาชีพ’ Porsche ใช้เป็นชื่อรถเพื่อให้ระลึกถึงเครื่องยนต์ที่สร้างขึ้นบนแรงบันดาลใจจากการแข่งรถ จากการที่มีการติดตั้งเครื่องยนต์ T 547 quadcam ออกแบบโดย Ernst Fuhrmannใน 550 ที่ใช้ในการแข่ง1954 Carrera Panamericana ด้วยเหตุนี้ รถที่ผลิตขึ้นในโมเดล 356 A 1500 GS Carrera รถ 904 ทุกรุ่นของ 911 รถ 924 Carrera GT และ 2003 Carrera GT อาจร่วมใช้ชื่อรายการแข่งที่โด่งดังนี้ แต่ที่แน่ คือคันแรก ของ Porsche ที่ใช้ชื่อ Panamericana คือรถคอนเซ็ปต์จากพื้นฐานของ 965 C4 ปี1989 เป็นรถ Targa ที่ดูแปลกตา ผลิตขึ้นเพื่อการฉลองครบรอบวันเกิด 80 ปีของ Ferry Porsche ออกแบบโดยมีเส้นสายที่ไร้รอยต่อ และ แสดงความกล้าในการเปิดซุ้มล้อ ช่วยให้อากาศหมุนเวียนได้ดีและเปลี่ยนล้อได้ง่ายขึ้น โครงสร้างผลิตจากวัสดุคอมโพสิตมีหลังคา 3 ชิ้นที่ถอดออกได้ยึดอยู่กับที่ด้วยซิปสีม่วง คอนเซ็ปต์สุดท้ายมีผลต่อการออกแบบ 911 ในเจนเนอเรชันของ 993

Facing Page เส้นทางแข่ง Carrera Panamericana เป็นทางขับรถยอดนิยมสำหรับบรรดาแฟน ที่สนใจประวัติศาสตร์การแข่งรถและถึงแม้ว่ารายการแข่งจะเลิกไปตั้งแต่กลางทศวรรษ 50 แล้วก็ตาม ตำนานของมันยังคงอยู่ในรูปของรถแข่งหลากหลายแบบที่มีตราสัญลักษณ์ Carrera และรถแข่งคันเก่าที่ยังหลงเหลืออยู่ มีหลายคันที่ปัจจุบันมีนักแข่งสังกัด Porsche ทั้งอดีตและปัจจุบันนั่งอยู่หลังพวงมาลัย

Share

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *