Porsche 914: THE MID-ENGINE – ณพพัฒน์ ดิษยะศริน

แม้ชีวิตมันไม่ได้สมหวังไปซะทุกเรื่องเหมือนกับที่ผู้ผลิตรถยนต์สองราย ทั้ง PORSCHE และ VOLKSWAGEN ที่จับมือกันเพื่อหวังจะสร้างรถสปอร์ตที่ดีที่สุด ที่ถึงแม้มันจะไปไม่ถึงดวงดาว แต่สุดท้ายข้อดีของมันก็จะถูกหยิบยกมาเป็นเรื่องราวที่ถูกพูดถึงเป็นตำนาน และเป็นแบบอย่างที่ดีในการพัฒนารถในยุคหลัง

PORSCHE ต้องการสร้างอะไรที่แปลกใหม่มากกว่ากว่าสี่สูบราคาประหยัด 912 ที่ใช้เครื่องยนต์วางท้ายในรูปลักษณ์ที่เหมือน 911  ในขณะเดียวกันทางฝั่ง VOLKSWAGEN ก็ต้องการสปอร์ตที่จะมาแทน Karmann Ghia  เช่นกัน ในฐานะผู้ผลิตที่มีสายสัมพันธ์ร่วมกันมายาวนานก็เลยจับมือกันเพื่อแชร์ต้นทุนในการผลิตรถรุ่นใหม่ของพวกเขา โดยหลังจากสรุปข้อตกลงร่วมกัน ทั้งสองก็เริ่มทำงานในหน้าที่ของตนด้วยความพิถีพิถัน จนในปี 1969 ก็ได้มาซึ่งผลผลิตที่เรียกว่า “VW-PORSCHE 914” และเปิดตัวในรูปแบบรถสปอร์ตสองที่นั่งมีหลังคาเปิดได้แบบ TARGA กับรูปแบบการวางเครื่องที่เปลี่ยนไป ซึ่งทั้งๆ ที่ทั้งสองค่ายถนัดทำเครื่องวางท้ายมาตลอด แต่ครั้งนี้พวกเขาเลือกเอาเครื่องยนต์ 4 สูบนอน 1.7 ลิตร ระบายความร้อนด้วยอากาศ ของ VW TYPE4 มาไว้ตรงกลาง เพื่อหวังผลในเรื่องของการกระจายน้ำหนักที่ดีกว่า แน่นอนว่าการวางเครื่องตำแหน่งนี้มันกินพื้นที่ของเบาะหลังไป แต่จะสนใจอะไรหล่ะ ในเมื่อตั้งใจให้มันเป็นสปอร์ตคาร์เต็มตัวอยู่แล้ว แถมมันยังทำให้มีห้องเก็บของถึงสองที่ทั้งในฝากระโปรงหน้าและฝากระโปรงหลัง แต่แรงจูงใจส่วนใหญ่ก็คืออยากเอาชนะสปอร์ตค่ายคู่แข่งต่างสัญชาติในยุคนั้นที่ต่างหันมาวางเครื่องยนต์แบบนี้กันทั้งนั้น และก็เปิดตัว 914 ด้วยราคาที่ต่ำเพื่อดึงดูดผู้ซื้อ เหมือนกับที่เคยทำกับ 912

ด้วยความดีรอบตัว รวมถึงรูปแบบหลังคาแบบ TARGA ที่ทำให้มันดูเซ็กซี่ และที่สำคัญเย้ายวนด้วยราคาที่เอื้อมถึง แถมยังมีตรา PORSCHE ประดับอยู่ด้วย คุณจะไม่หลงรักมันหรือ? แต่นักเลง PORSCHE ส่วนใหญ่ก็จะเย้ยหยั่นมัน ด้วยเพียงเพราะเหตุผลที่คิดว่าใครจะควักเงินซื้อ PORSCHE ที่ใช้ชิ้นส่วนขับเคลื่อนของ VOLKSWAGEN แถมยังมีรถที่หน้าตาเหมือนกันในชื่อของ VOLKSWAGEN อีก ทำให้มันไม่ค่อยประสบความสำเร็จเท่าไหร่นักในเรื่องของยอดขายของทางฝั่ง PORSCHE แต่  PORSCHE ก็พยายามเพิ่มเดิมพันเข้าไปอีกด้วยการหยิบเอาเครื่องยนต์ 6 สูบ จาก 911T มาใส่ลงไปในเรือนร่างของ 914/6  แต่นั้นเป็นการตัดสินใจที่ค่อนข้างพลาด เพราะมันทำให้ราคาของมันกระโดดขึ้นไปเข้าใกล้ 911 เข้าไปอีก ในขณะที่ยังใช้ตัวถังแบบเดียวกับที่ VW มีเป๊ะๆ กลายเป็นกลไกสำคัญที่ทำให้ 914 รุ่นเครื่องยนต์สี่สูบสามารถทำยอดขายได้ดีกว่า แต่ไม่ว่าจะเป็นรุ่นเครื่องยนต์สี่สูบ หรือหกสูบพวกมันก็ยังมีจำนวนประชากรที่น้อยนิดอยู่ดี และข่าวดีก็คือลูกเป็ดนอกสายตาในตอนนั้นกำลังกลายเป็นที่ต้องการของนักสะสมในตอนนี้

แต่ไม่ว่าเรื่องบังเอิญหรือเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ทำให้ชายผู้หลงใหลในเสน่ห์ของเส้นสายที่คมกริบ เสียงเครื่องยนต์ที่เหมือนเดินไม่ครบสูบแต่ไพเราะ กลิ่นไอเสียที่เผาไหม้ไม่หมด และการขับขี่แบบดิบๆ ของรถคลาสสิก อย่างคุณ จุลณพพัฒน์ ดิษยะศรินได้เป็นเจ้าของตำนานแห่งเครื่องยนต์วางกลางที่เกิดจากความร่วมมือของสองผู้ผลิตรถยนต์ที่ยิ่งใหญ่ของเยอรมันรถคันนี้เดิมทีจอดอยู่ที่โกดังของเพื่อนคุณแม่ผม เขาเป็นคอลเล็กเตอร์ตัวยงที่เก็บสะสมรถไว้เยอะมาก ซึ่งจริงๆ ผมก็แอบเล็งรถแกไว้หลายคัน เพราะแต่ละคันเป็นรถเจ๋งๆ ระดับตำนาน ซึ่งแกก็ไม่ยอมขายสักคัน จนภายหลังเค้าไม่สามารถที่จะดูแลรถพวกนั้นอย่างทั่วถึง เนื่องจากอายุที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ อยู่มาวันหนึ่งเขาก็ตัดสินใจที่จะปล่อยมันออกบ้างบางส่วน รวมถึง 914 คันนี้ด้วย ซึ่งเป็นรถที่คุณอาคนนี้เขารักมาก และเขาก็ทราบดีว่าผมก็เป็นคนที่เล่นรถคลาสสิกอยู่แล้ว เลยยอมให้ผมมาดูแลต่อ ผมว่าเพราะแกก็ไม่อยากให้ต้องเสียรถดีๆ ไปคันหนึ่ง ถ้ามันไปอยู่ในมือของคนที่ไม่เห็นค่าในความเป็นรถคลาสสิก เพียงเพราะมันดูเท่ที่เปิดหลังคาได้เท่านั้นคุณจุลเล่าถึงที่มาของ 914 สีขาวที่เพิ่งเข้ามาเติมเต็มโรงจอดรถที่เต็มไปด้วยรถคลาสสิกของเขา ซึ่งถึงแม้ว่าเขาจะผ่านการบูรณะรถคลาสสิกมาแล้วหลายคัน แต่นี่เป็นรถ PORSCHE คันแรกที่เขาทำการบูรณะโดยได้รับการสนับสนุนจากคุณพ่อที่คอยเชียร์อยู่เบื้องหลังคุณพ่อผมก็เป็นประเภทคลั่งรถคลาสสิกเหมือนกัน ทั้งผมและคุณพ่อชอบใน PORSCHE  914 คันนี้อยู่แล้ว ในวันที่ไปดูรถคันนี้ พ่อบอกผมว่า 914 เนี่ยมันเป็นรถที่หายากมากเลยนะ ในสมัยนั้นเนี่ยมีรถเข้าในประเทศไทยเพียงไม่กี่คัน ส่วนผมมองว่าเอกลักษณ์ของไฟหน้าแบบป๊อปอัพมันเป็นเสน่ห์ที่มันได้รับความนิยมในแฟชั่นรถสปอร์ตช่วงยุคหนึ่ง ซึ่งในรถรุ่นใหม่ๆ นั้นแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเห็นไฟป๊อปอัพแบบนี้ และหลังคาประทุน TARGA ที่สามารถยกออกและเก็บไว้ในฝากระโปรงท้ายเป็นเสน่ห์ของ 914 ที่ไม่เหมือนใคร

ตอนแรกที่ได้มาอุปกรณ์มันก็ค่อนข้างครบนะ เพียงแต่สภาพมันก็เก่าไปตามอายุ ซึ่งปล่อยไว้มันก็ได้อยู่ แต่ด้วยความที่ผมเป็นคนบูรณะรถประเภทที่อยากให้มันดูใหม่ๆ ดูสดใส ก็พยายามสั่งพวกอะไหล่ไฟ กันชน ขอบยาง และอะไรต่อมิอะไรที่ผมพอหาได้มาใส่ เพื่อหวังให้มันดูใหม่ที่สุด ซึ่งอะไหล่ทั้งคันผมสามารถเบิกใหม่ได้ทุกชิ้นนะ แต่ชิ้นส่วนที่หายากที่สุด คือยางรองหลังคาที่อยู่ในฝากระโปรงท้าย ชิ้นนี้ผมหาอยู่นาน และพอเจอปรากฏว่าเป็นชุดสุดท้ายในร้าน หลังจากนั้นผมก็ส่งไปทำสี รวมถึงจัดการเกี่ยวกับสนิมที่เกิดขึ้นตามจุดที่มองเห็นและไม่เห็นหมดทั้งคัน เพื่อให้มันสมบูรณ์ที่สุดเขาเล่าต่อถึงความสนุกที่ดูเหมือนเพิ่งเริ่มต้นขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ ซึ่งดูว่าไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับคนที่ฟื้นฟูสภาพรถคลาสสิกมาช่ำชองแบบเขาแม้แต่น้อย เราสังเกตได้ว่านอกเหนือจากการฟื้นฟูสภาพซะจนเอี่ยมอ่องแล้ว เจ้าของรถคันนี้เขาไม่ใช่ประเภทที่จะต้องทำรถให้เดิมจ๋าในทุกจุด แต่มันต้องสวยด้วย อย่างน้อยมันก็ต้องการล้อแม็ก Fuchs ที่จะไม่ทำให้มันเสียรถ ไปพร้อมๆ กับการโหลดลงอีกนิดหน่อยแบบพองาม 

ภายในยังคงกลิ่นอายของยุค 70’s ด้วยเบาะหนังเดิมสีน้ำตาลเข้ม กับอุปกรณ์ที่ทำงานด้วยกลไกไร้ซึ่งหน้าจอดิจิตอล หรือบรรดาวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ ซึ่งมั่นใจว่าจะสร้างความประทับใจให้กับผู้ที่ได้หย่อนก้นลงไปนั่งเพื่อเสพเอาวัฒนธรรมการขับขี่แบบดิบๆ หรือเรียกง่ายๆ ว่าใช้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล

เครื่องยนต์ 4 สูบ เพียงพอต่อการใช้งานที่ไม่ได้รีบร้อน แต่คุณจุลทำการขยายความจุเป็น 2.0 ลิตร ด้วยลูกสูบ ก้านสูบ และข้อเหวี่ยงจากรุ่น 2.0 ลิตร ที่โชคดีว่ามันสามารถนำมาใส่ในเสื้อเครื่องเดิม เพื่อให้มีกำลังมากขึ้นได้เลย แต่ก็ต้องอาศัยช่างที่เข้าใจมันนิดหนึ่ง ซึ่งช่างที่ทำ VW ได้ก็สามารถทำเครื่องตัวนี้ได้ดี และแม้ว่าเขาอยากจะรักษาความออริจินัลของมันไว้มากแค่ไหน การขับใช้งานได้ในทุกวันก็ยังเป็นสิ่งที่ปรารถนา ดังนั้นสิ่งที่ขาดไม่ได้คือระบบแอร์ที่ติดตั้งเพิ่มเข้าไป ซึ่งมันช่วยให้รถคลาสสิกน่าใช้ขึ้นมากกว่าการที่ต้องทนเสียอารมณ์ท่ามกลางการจราจรที่คาดเดาไม่ได้

มันเป็นรถที่ให้อารมณ์ของรถคลาสสิกได้อย่างดี เบาะนั่งที่ทำให้เรารู้สึกเหมือนเรานั่งอยู่บนไม้กระดานมากกว่าที่เราจะรู้สึกว่าเรานั่งอยู่บนเบาะ ตำแหน่งที่นั่งเตี้ยเหมือนนั่งอยู่บนพื้นห้องโดยสารกับเสียงของเครื่องยนต์ 4 สูบ ที่ดังกระหึ่มอยู่หลังเบาะคนขับ โดยมีแผงเหล็กบางๆกั้นอยู่ การตอบสนองของช่วงล่างที่ถ่ายทอดทุกรายละเอียดของพื้นผิวถนน กับการกระจายน้ำหนักที่ดีทำให้มันคล่องตัว ทุกอย่างทำให้มันเป็นรถที่ขับสนุกและควบคุมง่ายเหมือนรถคาร์ทเขากำลังยกความดีความชอบให้การกระจายน้ำหนักของเครื่องวางกลางผลก็คือมันเป็นรถที่ขับดีอีกรุ่นหนึ่ง

ที่ว่ามาข้างต้นมันดูเป็นเรื่องสนุกของการฟื้นฟูสภาพรถคลาสสิก นั่นเพราะเรามาเห็นตอนที่มันออกมาสวยเช้งแบบนี้แล้ว ต้องขอบคุณความหลงใหลในรถคลาสสิกของคุณจุลที่ทำให้เขามองเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ ว่ามีอะไรดีๆ ตอบแทนเขาได้อย่างคุ้มค่าระหว่างการรอที่แสนน่าเบื่อโดยที่ไม่ถอดใจไปก่อน กับระยะเวลาและเงินก้อนโตที่ต้องทุ่มลงไป จนสุดท้ายเขาก็ได้สัมผัสกับประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ของการจับมือกันระหว่างสองค่ายยักษ์เพื่อสร้างความสุดยอดในการขับขี่ที่ไม่เหมือนใครจากน้ำหนักตัวที่เบากับการวางเครื่องยนต์แบบใหม่ โดยไม่ต้องกังวลว่ามันจะทำให้ธรรมเนียมการออกแบบรถของ PORSCHE นั้นบิดเบือนไปแต่อย่างใด

ถึงตอนนี้คำเย้ยหยันที่ว่า 914 เป็น PORSCHE ตัวจริงหรือเปล่าก็ไม่ได้สำคัญอะไรแล้ว ในเมื่อคำตอบก็ชัดเจนว่าตอนนั้น 914 อาจเป็นเพียงแค่รถรุ่นหนึ่ง ที่อาจถูกลืมในอนาคต แต่ถ้าเป็นเช่นนั้นทายาทเครื่องยนต์วางกลางอย่าง BOXSTER และ CAYMAN คงไม่ได้สยายปีกอย่างในปัจจุบัน ถ้าขาดต้นแบบที่ดีอย่าง VW-PORSCHE 914

เรื่อง: ชญานิน โชติชมภูพงษ์
ภาพ: นินาท เทียบเทียม

นิตยสาร GTPORSCHE ฉบับที่ 47

Share

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *