SPYDER PLAN

           

HYBRID THEORY

                918 Spyder มีอิทธิพลโดยตรงต่อการพัฒนา PORSCHE 919 Hybrid รถแข่งเลอมังส์ ที่สร้างโดยเจ้าหน้าที่มากกว่า 200 คนในศูนย์วิจัยและพัฒนาของบริษัท โดยเครื่องจักร 919 LMP1 ได้รับชัยชนะสองครั้งในปี 2015 และ ปี 2016 และการปรับปรุง 919 ในปี 2017 ก็ทำให้ได้แชมป์อีกครั้ง และเพื่อให้สอดคล้องไปกับการผลิตรถไฟฟ้าอย่าง Taycan  ตอนนี้ PORSCHE กำลังทำการแข่งขัน Formula-E ด้วยรถแข่ง 99X all electric  

918 SPYDER AT10

                รูปแบบของสภาพอากาศที่แปรปรวนอย่างรุนแรงทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทำให้สังคมเกิดการยอมรับการใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างกว้างขวางแบบมีนัยยะสำคัญ จึงไม่แปลกเลยที่ในทศวรรษที่ผ่านมาจะมีรถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้งานได้จริงปรากฏตัวขึ้น และเราก็ได้เห็นผู้ผลิตรถยนต์ที่น่าดึงดูดแห่งสตุทการ์ทนี้เชื่อมโยงตัวเองเข้ากับยานยนต์ไฟฟ้า แต่ความเป็นจริงแล้ว PORSCHE มีการใช้พลังงานไฟฟ้ามายาวนานกว่านั้น ย้อนไปเมื่อปี 1898 Ferdinand Porsche ออกแบบ Egger-Lohner C2 Phaeton ที่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า โดย PORSCHE ได้จับมือกับ Hofwagenfabrik Ludwig Lohner & Co. ให้รับหน้าที่พัฒนามอเตอร์ไฟฟ้าแบบติดที่ดุมล้อให้ หนึ่งปีต่อมาจึงมีรถที่ร่วมกันสร้างระหว่าง Lohner กับ PORSCHE คันแรก และนวัตกรรมนี้ก็ถูกนำเสนอใน Paris Expo ด้วยมอเตอร์ 2.5 แรงม้าสองตัว ที่วิ่งได้ถึง 22 ไมล์ต่อชั่วโมง สร้างความฮือฮาไปทั่วยุโรปกันเลยทีเดียว ผู้ก่อตั้งบริษัท Jacob Lohner มีเหตุผลที่ดีในการช่วยพัฒนารถไฟฟ้าให้ PORSCHE “บรรยากาศของเราถูกทำลายอย่างไร้ความปราณีจากเครื่องยนต์เบนซินที่ใช้อยู่เป็นจำนวนมาก” เขากล่าว เหตุผลของเขาคือต้องการยกเลิกความคิดเกี่ยวกับเครื่องยนต์สันดาปซึ่งตอนนี้มันก็เชื่อมโยงกับแนวคิดในปัจจุบันที่ทั่วโลกพยายามผลักดันพลังงานสะอาดใส่ให้กับพาหนะ

AHEAD OF THE GAME

                นอกจากนี้ในปี 1900, PORSCHE ได้ออกแบบฟังก์ชั่นรถ HYBRID ครั้งแรกของโลก “The Semper Vivus” (ภาษาละตินแปลว่าการมีชีวิตอย่างยั่งยืน) การลงทุนทางเทคโนโลยีนี้ถูกวางตลาดในชื่อของ Lohner-Porsche โดยนอกเหนือจากพาหนะไฟฟ้า PORSCHE ก็ขยายตลาดด้วยรถยนต์ที่ไม่ใช้แบตเตอรี่เป็นแหล่งพลังงาน แต่ใช้เครื่องยนต์สันดาปเพื่อขับเคลื่อนดุมล้อไฟฟ้า หนึ่งปีต่อมา ก็มีเวอร์ชั่นที่พร้อมสำหรับการผลิตกำเนิดขึ้นในฐานะ Lohner-Porsche Mixte อย่างไรก็ตามสำหรับความกล้าหาญทางเทคโนโลยีทั้งหมดของมัน Mixte แสดงให้เห็นเหตุผลหนึ่งว่าทำไมไฟฟ้าล้มเหลวในช่วงหลายทศวรรษ พลังงานที่ได้มาน้อยนิดต้องพยายามรับมือกับน้ำหนักสองตันของรถ และการขาดคุณสมบัติพื้นฐานในการชาร์จที่ใช้เวลานาน และให้พลังงานได้น้อยทำให้ Mixte ไม่ได้รับความมั่นใจในการเดินทาง รถไฟฟ้ายุคบุกเบิกจึงยังไม่เป็นตามความฝันของบริษัทที่ตั้งไว้

                การเผชิญหน้ากับเป้าหมายการกำจัดมลพิษที่เข้มงวดมากในปี 2009 ของ Zuffenhausen ทำให้แรงบันดาลใจจากอดีตนำมาสู่การเปิดตัว PORSCHE พลังงานไฟฟ้าที่ขึ้นชื่อเรื่องสมรรถนะอันชาญฉลาด ที่ไม่เพียงพัฒนาควบคู่ไปกับเครื่องยนต์เท่านั้น มันรวมถึงกลยุทธ์มากมายที่นำเสนอ อากาศพลศาสตร์ที่ปรับปรุงแล้วและโครงสร้างน้ำหนักเบา เป็นผลให้รถมีพลังและสมรรถนะที่สูงขึ้น โดยมีความสมดุลกับการประหยัดเชื้อเพลิงและมลพิษไอเสียที่ต่ำ มันเป็นช่วงเวลาที่ท้าทายที่เรียกว่าเป็นการแก้ปัญหาของสิ่งประดิษฐ์ยุคเก่า

                การมาถึงของ Cayenne รุ่นที่สองในปี 2010 เป็นการเริ่มต้นของ PORSCHE ที่แสนชาญฉลาด การใช้พลังงานไฟฟ้าบางส่วนของระบบขับเคลื่อนลดการปล่อยไอเสีย มันได้รับการพิสูจน์แล้วว่า SUV พลังงานผสมนั้นสามารถส่งมอบกำลัง 374 แรงม้าได้อย่างน่าเชื่อถือ และสร้างรอยยิ้มได้ในแต่ละกิโลเมตรที่เดินทาง

                หลังจากพัฒนาอย่างเข้มข้นกว่าสามปี Panamera S Hybrid ได้คลอดตามในปีต่อมา เป็นก้าวแรกของ PORSCHE สู่โลกใหม่ที่นำไปสู่การใช้กระแสไฟฟ้า ความแรง 410 แรงม้าของ Panamera S E-Hybrid ในปี 2013 มีศักยภาพมากขึ้นกว่าปลั๊กอินรุ่นก่อน เป็นปลั๊กอินที่ “เหมาะสม”

ที่งาน Geneva Motorshow 2010 PORSCHE ได้นำเสนอเทคโนโลยีที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ให้เป็นจริง ด้วยการเปิดตัว 918 Spyder ซึ่งสร้างสิ่งที่น่าตกใจให้กับการชุมนุมของฝูงชน และไม่ต้องพูดถึงการสังเกตุการณ์จากค่ายคู่แข่งที่ต้องจับตาดูเป็นพิเศษ เครื่องยนต์ V8 มอบกำลัง 500 แรงม้า ขับเคลื่อนกับมอเตอร์ไฟฟ้าทั้งด้านหน้าและด้านหลังอีก 218 แรงม้า อัตราเร่ง  0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเกิดขึ้นใน 3.2 วินาที ทำให้มันเหนือกว่าซูเปอร์คาร์ในทุกๆ ด้าน แต่ถึงกระนั้นเครื่องของ PORSCHE ก็ยังเป็นเครื่องยนต์สีเขียวเช่นกัน จากการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพียง 70 กรัมต่อกิโลเมตร และระบุความสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงสามลิตรต่อ 62 ไมล์ นั่นคือ 94 ไมล์ต่อแกลลอน! เครื่องยนต์ 8สูบ NA  ที่ได้มาจากการพัฒนาเครื่อง 3.4 ลิตร 496 แรงม้าใน LMP2 RS Spyder ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ในวงการมอเตอร์สปอร์ตไม่ว่าจะสนามไหน 918 Spyder  ก็เอาชนะแม้แต่ Nurburgring Nordschleife ใน 7 นาที 33 วินาที ที่เร็วกว่าแม้กระทั่ง Carrera GT

CLOSELY LINKED

                เครื่องจักรที่รวดเร็วรุ่นใหม่ของ PORSCHE ถูกแต่งตัวด้วยผ้าคลุมแบบเดียวกับเพื่อนเก่า และผู้บุกเบิกหลายคน  โดยยากที่จะมองข้ามการเปรียบเทียบกับ Carrera GT, 918 Spyder ใช้ประโยชน์จากพลาสติกเสริมคาร์บอนไฟเบอร์ (CFRP) ในส่วนของตัวถัง โครงสร้างรับน้ำหนัก รวมถึงระบบรองรับช่วงล่างด้านหน้า ห้องเครื่องยนต์และเพลาขับ เส้นสายของรุ่นใหม่ยังคงแสดงเส้นสายที่ความเคารพต่อรุ่นก่อน แต่โดยรวมก็ยั่วยวนมากขึ้น ความแข็งแรงและหรูหราบนบอดี้ CFPR แสดงเงื่อนงำเล็กน้อย ด้านภายในของ 918 Spyder เหมือนปลาวาฬที่กำลังเต้นบัลเล่ต์ เป็นการผสมผสานที่ลงตัวระหว่างความสง่างามและพลัง

                เครื่องยนต์สันดาปและมอเตอร์ไฟฟ้าจัดวางด้านหลังเพื่อขับเคลื่อนล้อหลังผ่านชุดเกียร์ PDK 7 Speed มอเตอร์ไฟฟ้าตัวที่สองขับเคลื่อนล้อหน้าแบบทางเดียว แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนแบบระบายความร้อนด้วยของเหลวขนาด 6.8 kWh วางไว้ด้านหลังห้องผู้โดยสารที่เก็บพลังงาน สำหรับเร่งแบบฉับพลัน ตำแหน่งที่ต่ำลงไปของแบตเตอรี่(ที่ความสูงของดุมล้อ) ก็มีผลในการส่งเสริมให้รถมีจุดศูนย์ถ่วงต่ำ และช่วยเปิดช่องทางให้ประสิทธิภาพในการระบายความร้อนทำได้ดีที่สุด เพื่อให้มีกำลังการผลิตไฟฟ้าที่เหมาะสม และสิ่งที่จะมาช่วยอธิบายได้ว่าทำไมท่อไอเสียทั้งสองถึงต้องชี้ขึ้นฟ้านอกก็คือการลดอุณหภูมิให้ต่ำลงและรีดไอเสียอออกได้เร็วตามการออกแบบ HIS (Hot Side Inside) ตัวเครื่องยนต์ V8เองก็เป็นผู้บุกเบิกในงานออกแบบ จากการติดตั้งปั๊มน้ำมันเครื่องที่ทำจากพลาสติกเกรดสูง รวมถึงน้ำหนักที่เบาลงก็ได้รับการช่วยเหลือจากก้านสูบไทเทเนี่ยม เสื้อสูบที่บาง และฝาสูบอลูมีเนียมหล่อ ทำให้มันมีน้ำหนักเพียง 135 กิโลกรัม ซึ่งนี่ก็เป็นผู้นำในการพัฒนาควบคู่ไปกับ PORSCHE Hybrid ในทุกรุ่น

                918 Spyder คือซูเปอร์สปอร์ตคันแรกที่ใช้ขุมพลังไฮบริด มอเตอร์ไฟฟ้า 90kW และโมดูลไฮบริดของ 918 Spyder ทำหน้าที่เชื่อมต่อกับเครื่องสันดาป นั่นหมายความว่าเพลาของล้อหลังสามารถใช้พลังงานจากมอเตอร์ไฟฟ้า และเครื่องยนต์ V8 หรือทั้งสอง อย่างไรก็ตามระบบส่งกำลังด้านหน้าเป็นการส่งกำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าตรงไปยังล้อโดยผ่านเพลา กระจายน้ำหนักหน้า / หลัง 43:57 มีระบบเลี้ยวล้อหลังที่สมบูรณ์แบบจาก Porsche Active Suspension Management (PASM) ล้อหลังขนาด 21 นิ้วในแต่ละข้างจะถูกปรับด้วยกลไกไฟฟ้าในการกำหนดทิศทาง ที่ความเร็วต่ำ ล้อจะไปในทิศทางตรงข้ามกับล้อขนาด 20 นิ้วที่เล็กกว่าเล็กน้อยในด้านหน้า เพื่อช่วยเหลือในการเข้าโค้ง เมื่อความเร็วสูงล้อหลังจะหมุนเลี้ยวไปในทิศทางเดียวกับล้อหน้า เพื่อเพิ่มเสถียรภาพ มันอัจฉริยะมาก และนั่นคือเทคโนโลยีที่บริษัทคาดหวังให้กับโลกยานยนต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน 959

                โหมดการขับขี่ห้าโหมดเพิ่มรสชาติให้กับ 918 การอนุญาติให้ผู้ขับขี่เข้าถึงรสหวานของสปอร์ตไฮบริดเพื่อรสนิยมของพวกเขา สามารถเลือกได้จากพวงมาลัย ในโหมด E-Power สำหรับการวิ่งด้วยไฟฟ้าล้วนได้ถึง 16 ไมล์ (และไปได้ถึง 93 ไมล์ต่อชั่วโมง), โหมด Hybrid ให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพ และการบริโภค โดยผสานมอเตอร์ไฟฟ้าและเครื่อง V8 เข้าไว้ด้วยกัน, โหมด Sport Hybrid จะใช้เครื่องยนต์สันดาปเป็นหลัก และมอเตอร์ไฟฟ้าช่วยเพิ่มประสิทธิภาพเมื่อจำเป็น, โหมด Race Hybrid จะปลดปล่อยพลังทั้งหมดของทั้งเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าให้สุงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และโหมดพิเศษที่เปิดตัวใน 918 Spyder ก็คือโหมด Hot Laps (ใช้ได้เมื่ออยู่ในโหมด Race Hybrid) ที่พลังงานจากแบตเตอรี่จะถูกใช้สูงสุดในโหมดนี้  

พลังงานจลน์ของ Spyder ในขณะที่เบรกเซรามิกถูกใช้งานตอนที่เราเบรกนั้น มอเตอร์ขับเคลื่อนจะถูกแปลงเป็นไฟฟ้าและป้อนกลับเข้าสู่แบตเตอรี่ ด้วยกำลังที่มากกว่ารุ่นก่อนถึงสามเท่า เมื่อจำเป็นต้องใช้พลังงานอีกครั้ง 918 สามารถชาร์จไฟได้อย่าง ‘รวดเร็ว’ ในเวลาเพียงสองชั่วโมง แต่ถ้าด้วยการชาร์จแบบ ‘ปกติ’ จะใช้เวลาเพิ่มเป็นสองเท่า ส่วนเรื่องของความสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงได้รับการกล่าวถึงว่าน้อยกว่า Carrera GT ถึง 40 เปอร์เซ็นต์

WINNING FORMULA

                การออกแบบ 918 Spyder นั้นอยู่ภายใต้การดูแลของ Dr.Frank Steffen Walliser ที่ต่อมาเป็นหัวหน้าแผนกมอเตอร์สปอร์ตของ PORSCHE โดยได้รับความช่วยเหลือจากWolfgang Hatz สมาชิกของคณะบริหารระดับสูงของ PORSCHE AG ฝ่ายวิจัยและพัฒนาแผนก F1 ในปี 1989 ก่อนที่จะไปพัวพันเรื่องอื้อฉาวของ Dieselgate เมื่อเร็ว ๆ นี้  918 Spyder ถูกลงนามเพื่อผลิตในปลายเดือนกรกฎาคม 2010 และเปิดให้สั่งจองหลังจากเดือนมีนาคม โดยมีการทดสอบเริ่มขึ้นในอีกสองปีหลังจากการผลิต เดือนพฤษภาคม 2012 มีการเตรียมรถต้นแบบ 24 คันเพื่อทำการบางอย่าง

                การแต่งกายที่หวือหวานั้นได้รับแรงบันดาลใจจาก 917 และเพื่อรับรองว่า Mega Roadster รุ่นใหม่ของ PORSCHE จะสามารถรับมือได้ในชีวิตประจำวันรวมถึงการปล่อยพลังอย่างเต็มที่ในสนาม มันต้องสามารถทนได้ต่อทุกสภาพอากาศ ไม่ว่าจะจากการทดสอบในอุณหภูมิ 42 องศาเซลเซียสของทะเลทรายเนวาดา และความเย็นยะเยือกของ Arjeplog ในสวีเดน 35 ไมล์จากอาร์กติกเซอร์เคิล ทีมวิศวกร 12 คนกับรถ 3 คัน กับการทดสอบที่ครอบคลุมกว่า 4000 ไมล์ ภายใต้การดูแลการทดสอบของ Holger Bartels ซึ่งผลก็คือไม่ใช่ระบบเดียวที่ล้มเหลวและประสบความสำเร็จในการทำงาน จากนั้นพวกเขาจึงประเมินผลเพิ่มเติมในอิตาลี และที่ศูนย์ทดสอบที่กว้างขวางของ Michelin ในฝรั่งเศส ที่จะถูกทดสอบอย่างต่อเนื่อง 11 ชั่วโมงต่อวันอย่างบ่อยครั้งในมือของนักขับ LMP1 อย่าง Neel Jani และ Brenden Hartley ที่นี่มีรถต้นแบบไม่กี่ตัวที่ทำให้งานของเขายุ่งเหยิง แต่อย่างอื่นยังคงทำงานได้อย่างเต็มที่       

                อุโมงค์ลม Dallara Automobili ใกล้กับ Parma ในอิตาลี ชี้ให้เราเห็นว่า Porsche Active Aerodynamics (PAA) มีบทบาทสำคัญในการช่วยเหลือ 918 Spyder เช่นเดียวกับ RS Spyder ให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด ต้องขอบคุณส่วนประกอบที่ช่วยให้รถเคลื่อนที่ผ่านอากาศเหนือ 81 ไมล์ต่อชั่วโมง ใน Race Hybrid Mode กันชนหน้าที่สามารถเปิดช่องลม และช่องดักอากาศที่อยู่ใต้ท้องจะเปิดเพื่อเปลี่ยนทิศทางเพื่อสร้างแรง Downforce เพื่อกดล้อด้านหน้า สปอยเลอร์หลังที่ปรับได้สามระดับจะมีมุมที่สูงชันมากขึ้นเพร้อมขยายออก 120 มิลลิเมตรเพื่อเพิ่มแรงกดในด้านท้าย

                ภายในของ 918 Spyder ได้รับการยกคอนโซลกลางขึ้น (เช่นเดียวกับ Carrera GT) และเป็นที่ตั้งของชุดจอ Infotainment พร้อมปุ่มควบคุมเครื่องปรับอากาศอัตโนมัติ ระบบไฟส่องสว่าง  Porsche Communication Management (PCM)และปุ่มปรับสปอยเลอร์หลังสุดเท่แบบ Multi-Touch

 918 Spyder เปิดตัวในเดือนกันยายนปี 2013 ด้วยราคา 28.3 ล้านบาทที่เยอรมัน และรถคันแรกออกจากสายพานการผลิตในสตุทการ์ตในเดือนมีนาคม 2014 ส่วนตลาดที่ขายดีที่สุดก็หนีไม่พ้นในสหรัฐอเมริกา ตามมาด้วยเยอรมนี ตะวันออกกลาง จีน และอังกฤษ แพ็คเกจเสริม Weissach ต้องเพิ่มเงินอีกประมาณสองแสนเจ็ด เพื่อลดน้ำหนักรวมลง 41 กิโลกรัม ทำให้เหลือ 1634 กิโลกรัม ซึ่งใช้พื้นฐานคล้ายกับรถแข่ง บรรดาหลังคา สปอยเลอร์หลัง กระจกมองหลัง และกรอบกระจกหน้า ของ 918 Spyder ที่มีแพคเกจ Weissach จะเป็นคาร์บอนไฟเบอร์ ภายในคาร์บอนไฟเบอร์แทนที่อลูมีเนียมและหนังถูกเปลี่ยนเป็น Alcantara ทนไฟ และเข็มขัดนิรภัย 6 จุดเพิ่มความรู้สึกของมอเตอร์สปอร์ต ขณะที่ล้อแม็กนีเซียมน้ำหนักเบาช่วยลดน้ำหนักใต้สปริง

 RING RAIDER

                กำลังก็เพิ่มขึ้นเช่นกันตอนนี้เครื่อง V8 4.6 ลิตร หมุน 9150 รอบต่อนาที มีแรงม้าสูงถึง 608 แรงม้า รวมกับ 286 แรงม้าจากมอเตอร์ไฟฟ้า ทำให้เอาต์พุตของระบบทั้งหมดอยู่ที่ 887 แรงม้า ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเกียร์ด้วย แรงบิดในช่วง 676-944 lb-ft สามารถเร่งความเร็วได้ในพริบตาใน 2.6 วินาที และ PORSCHE อันทรงพลังนี้ต้องการเพียง 7.3 วินาทีในการเข้าถึง 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง  นี่เป็นมากกว่าซูเปอร์คาร์ที่รวดเร็ว มันเป็นรถไฟฟ้าที่น่าตื่นเต้น การทดสอบได้เกิดขึ้นแล้วที่ Nurburgring ในเดือนกันยายน 2013 ที่ขับโดย Marc Lieb ที่ทำให้ 918 Spyder แพคเกจ Weissach กลับออกมาในฐานะรถถนนตามกฏหมายคันแรกที่ใช้ยางติดรถวิ่งในระยะทาง 12.8 ไมล์บน Nordschleife ได้น้อยกว่า 7 นาที Lieb ทำลายสถิติก่อนหน้าด้วยเวลา 6.57  วินาที

                เพื่อสร้าง 918 Spyder โรงงานแห่งใหม่บนพื้นที่ 4000 ตารางเมตร ที่ตั้งอยู่ใจกลางโรงงาน PORSCHE แห่งที่ 2 ใน Zuffenhausen ได้ถูกผู้อำนวยการฝ่ายผลิต Michael Drolshagen สั่งการเตรียมพื้นผิวที่สะอาด เครื่องมือไร้สายแบบ Bluetooth และสถานที่ที่สร้างบรรยากาศให้เหมาะกับการประกอบ 918 Spyder ซึ่งแต่ละคันใช้เวลากว่า 100 ชั่วโมงในการสร้าง ผ่านมากกว่า 18 พื้นที่ในการประกอบที่แตกต่างกัน ด้วยผู้ปฎิบัติงานกว่า 100 คนที่ดึงมาจากสายการผลิต 911 ในทำนองเดียวกันกับ AMG ที่สำนักงานใหญ่ Affalterbach เครื่องยนต์ตัวเดียวถูกสร้างขึ้นโดยช่างเทคนิคคนเดียวให้เสร็จใน 20 ชั่วโมง เมื่อดำเนินการเสร็จ 918 Spyder จะถูกยกไปชั้นสองแบบเงียบๆ เพื่อทำการทดสอบในขั้นตอนสุดท้าย การผลิตสิ้นสุดลงในปีวันที่ 19 มิถุนายน 2015 หลังจากมี 918 Spyder ทั้งหมด 918 คันถูกสร้างขึ้น และขายหมดใน 12 เดือนหลังจากที่เปิดจอง

                จรวดที่รวดเร็วนี้เป็นเหมือน Jekyll และ Hyde ที่มีสองบุคลิก มันเป็นรถ PORSCHE ที่รวดเร็วอย่างน่าทึ่งและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างรวดเร็ว การวิจัยและพัฒนาด้านวิศวกรรมนำมาสู่ Cayenne ต่อด้วยโปรแกรม Panamera S E-Hybrid ซึ่งเป็นพัฒนาการในช่วงเดียวกัน ทำให้สถานะแท้จริงของ PORSCHE คือผู้ผลิตรถยนต์รายแรกที่มีปลั๊กอินไฮบริดพร้อมกัน 3 รุ่น ข้ามมาที่ยุคปัจจุบันกับการเปิดตัวล่าสุดของ Taycan ที่เป็นพลังงานไฟฟ้าล้วน E-Performance ก็เป็นส่วนสำคัญของปรัชญา PORSCHE อีกครั้งที่ Ferdinand จะต้องภูมิใจ    

MOTORSPORT MISSILE

                2011’s 918 RSR เป็นโครงการรถต้นแบบส่งท้ายของ 918 Spyder ที่ใช้เทคโนโลยี (KERS) ร่วมกันกับ 911 GT3 R Hybrid  โดย RSR ได้รับเครื่องหมายที่โดดเด่นด้วยสีโลหะที่ทับซ้อนด้วยแถบสีส้มที่ทำให้นึกถึง 917s Gulf-Liveried และเพิ่มปีกหลังสไตล์ RS Spyder สร้างความก้าวร้าวทางสายตามากขึ้นในขณะที่ล้อใบพัดมองเห็นได้ชัดเจน (อยู่ระหว่างช่องดักอากาศเข้า)  917 RSR ใช้ตัวถัง CRFP กับเครื่องยนต์จาก RS Spyder  ที่พัฒนาเพิ่มเป็น 756 แรงม้าผ่านระบบ KERS ที่พลังงานจากการเบรกจะถูกสะสมแล้วช่วยเร่งใน 8 วินาทีนอกเหนือจากที่พบได้ในรถโหมดไฮบริดปกติ  เกียร์ 6Speed นั้นมาจาก RS Spyder ทำงานโดย Paddle และเปิดตัว 918 Spyder เพื่อขายจริงในสองปีข้างหน้า

Share

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *