STUTTGART SPACESHIP

มากกว่าความยอดเยี่ยมทางวิศวกรรมยานยนต์ของ 911 เพราะ 959 คือผู้บุกเบิกเทคโนโลยี

ความยุ่งยากอาจเป็นสิ่งที่รับรู้ได้ในทุกวันนี้แต่ในช่วงเวลานั้นมีการคาดหมายกันถึงการอำลาจากเวทีการค้าการขายของ Porsche 911 กันบ้างแล้วโดยเฉพาะในช่วงที่ปฏิทินโลกกำลังจะเปลี่ยนผ่านไปสู่ยุคสมัยทศวรรษที่ 1980 แต่โชคยังดีความรุ่งเรืองของ Porsche กลับมาอีกครั้งแบบถูกที่ถูกเวลาจากการกระแสความนิยมของ 911 SC และ Carrera 3.2 ที่ตามออกมาในภายหลังและถึงแม้ว่าในห้วงเวลาต่อมาจะมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงรถธงโมเดลนี้ของ Porsche ไปตามยุคสมัยที่มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี่ยานยนต์แต่ก็ล้วนแล้วแต่ยังคงยึดมั่นอยู่บนแนวคิดดั้งเดิมของความเป็น Porsche 911 ทั้งสิ้น อย่างไรก็ตามระบบขับเคลื่อน 4 ล้อได้เข้ามาเป็นตัวแปรสำคัญที่สร้างความสำเร็จให้กับ 911 ในโลกของมอเตอร์สปอร์ตโดยเฉพาะการคว้าชัยชนะในการแข่งขันรายการแรลลี่หฤโหด Paris-Dakar ปี 1984 โดยรถแข่ง Type 953 มีแชมป์รายการนี้ 3 สมัย Rene Metge เป็นผู้ขับขี่และ Dominique Lemoyne ชาวฝรั่งเศสเป็นโคไดรเวอร์ ซึ่งชัยชนะครั้งนี้ส่งผลอย่างยิ่งต่อการตัดสินใจของผู้บริหารระดับสูงของ Porsche ที่ Stuttgart ด้วย

Porsche 953 ภายใต้การตกแต่งตัวรถภายนอกด้วยลวดลายประจำทีมแข่ง Rothmans เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดเป็นมิติใหม่ของ Porsche 911 ทำให้การแข่งขันในประเภท Group B สำหรับรถแข่งโมเดลพิเศษที่ผลิตออกจากโรงงานผู้ผลิตรถยนต์โดยตรงเกิดขึ้นซึ่งทาง The Federation Internationale de I’Automobile หรือ FIA เป็นผู้คลอดกฎกติกาสำหรับการแข่งขันประเภท Group B ที่ใช้กับทั้งรถแข่งเรซซิ่งและแรลลี่ออกมาในปี 1982 ทั้งนี้การแข่งขันในประเภท Group B เป็นการแข่งขันแทนประเภท Group 4 และ Group 5 ซึ่งเป็นที่ถูกอกถูกใจแฟน ความเร็วมากขึ้นเพราะกำหนดให้รถแข่งสามารถมีพละกำลังแรงม้าได้มากกว่า 350 แรงม้า โดยรวมแล้วผู้ผลิตรถยนต์ต่าง ได้ผลิตรถแข่งประเภทนี้รวมกันแล้วเพียง 200 คันเท่านั้นซึ่งสาเหตุสำคัญที่ทำให้จำนวนการผลิตรถแข่งประเภทนี้มีจำนวนน้อยก็เนื่องมาจากค่าใช้จ่ายจำนวนมหาศาสที่ต้องใช้ในการพัฒนารถแข่งแต่ละรุ่นแต่ละคันนั่นเอง

 

FATAL ATTRACTION

สำหรับรถแข่งรุ่นพิเศษเหล่านี้ที่มีโอกาสได้ถือกำเนิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงข้อกำหนดข้อบังคับเล็ก น้อย นั้นเรียกได้ว่าเป็นเครื่องจักรกลที่มีความน่าเกรงขามเป็นอย่างยิ่งอย่างไรก็ตามภายหลังจากการเกิดอุบัติเหตุที่รุนแรงจนส่งผลต่อการเสียชีวิตของนักแข่งหลายครั้งทำให้การแข่งขันในประเภท Group B ถูกยกเลิกไปในปี 1986 ถึงกระนั้นก็ตามแรงบันดาลใจของการก่อกำเนิดเป็น Porsche 959 ก็ได้เริ่มต้นไปแล้วภายใต้ชื่อคอนเซปท์เดิม Gruppe B โดยกระบวนการพัฒนาเริ่มต้นขึ้นในปี 1981 เมื่อวิศวกรของ Porsche และหัวหน้าฝ่ายวิจัยและพัฒนา(ในเวลานั้น)  Helmuth Bott ได้โน้มน้าวให้ CEO คนใหม่ของ Porsche, Peter Schutz ให้สานต่อพัฒนาการของ 911 ที่เป็นผลมาจากความสำเร็จของ Carrera 3.2 ซึ่งก็ได้รับความเห็นดีเห็นงามไปด้วยนอกจากนี้ยังได้สนับสนุนการค้นคว้าวิจัยในเรื่องของระบบขับเคลื่อน 4 ล้อรวมไปถึงการเข้าไปหาประสบการณ์ในเกมความเร็วมอเตอร์สปอร์ตเพื่อนำมาเทคโนโลยี่ต่าง ที่เกิดขึ้นมาปรับเปลี่ยนใช้กับรถถนนได้อย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้นและการเข้าร่วมการแข่งขันในประเภท Group B ดูเหมือนว่าจะเป็นที่ เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับ Porsche และ 959 ก็ได้ถือกำเนิดขึ้น ความพยายามในการทำงานอย่างหนักเพื่อให้บรรลุถึงจุดหมายกลายเป็นมากกว่าความเจ็บปวดเมื่อผู้จัดการแข่งขันและผู้เข้าร่วมการแข่งขันในประเภท Group B แสดงท่าทีให้เห็นอย่างชัดเจนว่าพวกเขาต้องการให้ความสำคัญกับการแข่งขันแรลลี่โลกมากกว่าเนื่องจากมีค่าใช้จ่ายที่ถูกกว่ารถแข่งความเร็วทางเรียบ ซึ่งทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นกับเป้าหมายของโปรเจคท์ Gruppe B โดยเป้าหมายใหม่เป็นเรื่องของดีไซน์และการเป็นหนึ่งในรถยนต์ที่มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี่มากที่สุดเท่าที่เคยสร้างมาโดยไม่ต้องคำนึงถึงเรื่องค่าใช้จ่ายหรือต้นทุนในการผลิต

โมเดลต้นแบบสำหรับการทดสอบด้านแอโร่ไดนามิคมีชื่อว่า C29 โดยนำ 911 มายืดขยายชิ้นส่วนที่เป็นแผงตัวถังถึงแม้ผลที่เกิดขึ้นจะดูไม่สวยงามหรือสร้างความประทับใจได้ในด้านของมิติมุมมองแต่กลับมีคุณประโยชน์ต่อทีมวิศวกรของ Porsche อย่างยิ่งยวดโดยสามารถนำรูปแบบของมุมและเส้นโครงร่างไปพัฒนาต่อยอดเป็นจุดเริ่มต้นของสปอยเลอร์, สเกิร์ตข้างและแผงปิดกันกระแทกใต้พื้นรถของ 959 ต่อไป ทั้งนี้รถยนต์ที่จะกลายไปเป็น Porsche 959 ถูกนำออกเปิดตัวครั้งแรกในงานแฟรงค์เฟิร์ตมอเตอร์โชว์ปี 1983 โดยที่มีความแตกต่างไปจากทายาทโมเดลอื่น ที่มี Porsche 911 เป็นผู้ให้กำเนิดอย่างชัดเจนด้วยลักษณะทางกายภาพด้านนอกที่มีความปราดเปรียวลื่นไหล, ความโค้งมนและสีตัวรถที่เลือกใช้โทนสีขาวมันเงาเช่นเดียวกับสีของไข่มุก โมเดลต้นแบบคันนี้เปรียบได้ราวกับว่าเป็น 911 ที่มาจากต่างดาวกันเลยทีเดียว

SHAPE SHIFTING

เรื่องของอากาศพลศาสตร์มีบทบาทที่สำคัญใน 959 โดยภาพโดยรวมของการออกแบบโมเดลนี้มีเป้าหมายสำคัญคือการยกระดับเสถียรภาพการทรงตัวให้อยู่ในระดับสูงสุดนับตั้งแต่รถเริ่มทำความเร็วจากจุดหยุดนิ่ง การใช้วัสดุที่มีคุณสมบัติแตกต่างกันมาเป็นส่วนประกอบของตัวถังเช่นอลูมิเนียม, พลาสติคไฟเบอร์อมาไรด์และเคฟล่าร์รวมถึงพื้น Nomex ทำให้ตัวรถมีน้ำหนักเพียง 1,450 กิโลกรัมเท่านั้นขณะที่ส่วนที่ปิดบังขุมพลังแสดงให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นใหม่ของการออกแบบภายนอกของ 911 อย่างชัดเจนที่สุด และเป็นผลงานส่วนหนึ่งของ Richard Soderberg แห่ง Porsche studio design ที่ก่อนหน้านี้มีผลงานที่สร้างชื่อเสียงมาแล้วอย่างการออกแบบแนวเส้นโค้งของ 935/78 ‘Moby Dick’ รถแข่งปี 1978

คุณสมบัติประการหนึ่งของรถที่จะเข้าแข่งขันในประเภท Group B ได้คือการมีส่วนประกอบเดียวกันกับรถที่ผลิตจำหน่ายทั่วไป ในกรณีของ 959 หมายถึงหลังคา, หน้าต่างและประตูของ 911 จะยังคงรูปแบบเหมือนเดิมไว้แต่ออกแบบให้มีคุณสมบัติทางด้านอากาศพลศาสตร์มากขึ้นซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ค่าแรงต้านอากาศของ 959 ลดลงจาก 911 โมเดลมาตรฐานจาก 0.38 เป็น 0.31 ความงามของสปอร์ตคูเป้โมเดลคลาสสิคโมเดลนี้ถูกเน้นย้ำให้เด่นชัดขึ้นด้วยกระจังช่องดักอากาศเข้าที่ขยายใหญ่ขึ้นเพื่อสอดรับกับความโค้งนูนของซุ้มล้อและปีกข้างที่ใหญ่ขึ้นรวมถึงสปอยเลอร์หลังที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวต่อมามีการถอดรางน้ำฝนออกเพื่อเพิ่มประสิทธิผลทางด้านอากาศพลศาสตร์

สำหรับ 959 เวอร์ชั่นผลิตจำหน่ายทั่วไปถูกเปิดตัวในงานแฟรงค์เฟิร์ตมอเตอร์โชว์เป็นรถยนต์โมเดลปี 1986 ซึ่งถึงแม้จะมีการเปลี่ยนแปลงคุณลักษณะต่าง ไปบ้างเพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งานทั่วไปแต่ก็ยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่สืบทอดต่อเนื่องมาจากคอนเซปท์คาร์ Gruppe B อีกทั้งยังต้องใช้เวลาเพื่อการปรับปรุงในส่วนที่เป็นข้อบกพร่องต่าง เช่นเรื่องของเบรกที่พบในเวอร์ชั่นก่อนผลิตจำหน่ายจริงเป็นต้น  โดยที่ลูกค้าที่สั่งจองเป็นรายแรกจะยังไม่ได้รับรถจนกว่าจะถึงปี 1987 ซึ่งการล่าช้านี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากการทดสอบอย่างเข้มข้นจริงจังจนนำไปสู่การทำความเร็วสูงสุดที่สนามแข่ง Nardo Ring ในประเทศอิตาลี, การทดสอบที่ Continental’s Contidrom ในเยอรมนีและการทดสอบท่ามกลางสภาพอากาศที่หนาวเย็นสุดขั้วทั้งในนอรเวย์และสวีเดน

PULLING POWER

แทนที่จะพัฒนาเครื่องยนต์ใหม่สำหรับจรวดความเร็วทางเรียบใหม่นี้ Porsche เลือกที่จะปรับปรุงเครื่องยนต์ที่มีอยู่เดิม การใช้เครื่องยนต์ 6 สูบนอนความจุ 2,849 ซีซีก็เพื่อให้ผ่านเกณฑ์บังคับของรถที่จะใช้ในการแข่งขันประเภท Group B นั่นเองแต่อย่าคิดว่าเครื่องยนต์ของ 959 เป็นแค่การนำเครื่องยนต์เก่ามาโมดิฟายใหม่แบบธรรมดา ทั่วไป ฝาสูบ 4 วาล์วต่อสูบระบายความร้อนด้วยน้ำถูกนำมาผสมผสานใช้งานร่วมกับฝาสูบ 6 วาล์วต่อสูบระบายความร้อนด้วยอากาศขณะที่เทอร์โบชาร์จเจอร์คู่ของ KKK (แต่ละตัวเชื่อมต่อกับอินเตอร์คูลเลอร์ของตัวเอง)ช่วยเพิ่มกำลังให้ได้แรงม้าสูงสุดที่ 450 bhp ที่ 6,500 รอบต่อนาทีซึ่งเป็นกำลังแรงม้าที่มากกว่า 911 Turbo ถึง 150 แรงม้า

เทอร์โบเพิ่มกำลังต่อเนื่องของเครื่องยนต์ที่ปรับปรุงใหม่นี้ให้แรงดันสูงสุด 14.5 psi โดยที่ไอเสียจะถูกส่งโดยตรงจากกระบอกสูบไปยังเทอร์โบตัวเดียวขณะที่เครื่องยนต์ทำงานในรอบที่ต่ำกว่า 4,000 รอบต่อนาทีโดยส่งข้ามเทอร์โบชาร์จเจอร์ตัวที่สองไปโดยวาล์ว one-way เมื่อรอบเครื่องยนต์เกินกว่า 4,000 รอบต่อนาทีเทอร์โบตัวที่สองที่หยุดทำงานไปชั่วคราวจะกลับมาทำหน้าที่อีกครั้งช่วยให้ 959 สามารถทำอัตราเร่งจาก 0-60 ไมล์ต่อชั่วโมงได้ในเวลาเพียง 3.6 วินาทีเท่านั้น นอกไปจากนี้ความเร็วสูงสุดยังขึ้นไปถึง 197 ไมล์ต่อชั่วโมงทำให้ 959 ได้รับการบันทึกว่าเป็นรถยนต์แบบโปรดักชั่นที่เร็วที่สุดในโลกอีกด้วย

อย่างไรก็ตามเป็นที่น่าเสียดายที่ยุคสมัยความยิ่งใหญ่เกรียงไกรของ 959 นั้นช่างสั้นนัก อันเนื่องมาจากการมาถึงรถแข่ง Group B ของม้าลำพอง Ferrari F40 ที่ทำความเร็วสูงสุดขึ้นไปได้ถึง 202 ไมล์ต่อชั่วโมง แต่ฝีเท้าที่จัดจ้านร้อนแรงไม่ได้มาพร้อมกับความหรูหราสะดวกสบายเลย ในขณะที่ Ferrari ใช้พื้นคาร์บอนไฟเบอร์เปลือย , เบาะนั่งแบบรถแข่งที่ยึดตายตัวและหน้าต่างพลาสติค ผู้ขับขี่ Porsche จะได้รับการอำนวยความสะดวกสบายและความหรูหรารวมไปถึงประโยชน์ในการใช้งานเฉกเช่นเดียวกับ 911 มาตรฐานทั่วไปและขณะที่เครื่องยนต์ V8 478 แรงม้า ของ Enzo ทำงานร่วมกับระบบขับเคลื่อนล้อหลังแต่สำหรับ 959 ถูกต้องเหมาะสมกับคำว่า ‘go anywhere’ ได้มากกว่าสะท้อนให้เห็นถึงความเหนือชั้นกว่าในแง่ของความสมดุลทางเทคโนโลยี่กับความสะดวกสบาย

เช่นเดียวกับเครื่องยนต์นั่นคือความยอดเยี่ยมของระบบขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลารุ่นใหม่ Porsche-Steuer-Kupplung (PSK) ที่สามารถปรับเปลี่ยนการกระจายแรงบิดระหว่างเพลาหน้ากับเพลาหลังในสถานการณ์การขับขี่แบบปกติหรือในสภาพที่พื้นผิวถนนเปียกลื่นโดย 18% ของแรงบิด 369 ปอนด์ฟุตจะถูกส่งไปยังเพลาหลังเมื่อต้องการใช้อัตราเร่งอย่างรวดเร็วรุนแรง ทั้งนี้การถ่ายทอดกำลังยังสามารถเลือกปรับได้จากการตั้งโหมดการขับขี่ล่วงหน้า 4 โหมดการทำงานเมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่เสี่ยงต่อการเกิดอันตรายทำให้มั่นใจได้อย่างเต็มที่ว่า 959 จะยึดเกาะเป็นหนึ่งเดียวกับพื้นผิวถนนตลอดเวลาจากแรงดาวน์ฟอร์ซสูงสุดที่เกิดขึ้นบนเพลาแต่ละเพลา

RAISING SMILES

ระบบปรับระดับความสูงอัตโนมัติสามารถปรบระดับได้ระหว่าง 4.7, 5.9 และ 7.1 นิ้ว ระดับความสูงที่ต่ำลงใช้สำหรับระดับความเร็วที่เกินกว่า 75 ไมล์ต่อชั่วโมงขึ้นไประบบนี้ช่วยให้ 959 พุ่งทะยานไปข้างหน้าได้อย่างรวดเร็วมั่นคงทั้งบนสภาพพื้นผิวที่ราบเรียบและไม่ราบเรียบ อุปกรณ์ไฮดรอลิค 4 คู่เชื่อมต่อกับโช้คอัพทำให้การใช้งานเหล็กกันโคลงไม่มีความจำเป็นขณะที่ยาง RE71 Denloc ที่เป็นยาง run-flat ที่ Bridgestone พัฒนาขึ้นเป็นพิเศษขนาด 235/45 ที่ล้อคู่หน้าและ 255/40 ที่ล้อคู่หลังเป็นอีกส่วนประกอบสำคัญด้วย ทั้งนี้ 959 ยังเป็นรถยนต์ที่ผลิตจำหน่ายจริงโมเดลแรกที่ใช้ระบบส่งกำลังแบบเกียร์ธรรมดาเดินหน้า 6 สปีดอีกด้วย ระบบนี้เป็นการพัฒนาร่วมกับ BorgWarner โดยนอกจากมีเกียร์ธรรมดาเดินหน้า 5 สปีดแล้วยังมีเกียร์พิเศษ ‘G’ (‘Gelande’) สำหรับการใช้งานแบบออฟโรดด้วย

สำหรับผู้ขับขี่สามารถที่จะรับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างแท้จริงได้จากเกจ์บนแผงหน้าปัดที่แสดงการทำงานของเฟืองท้ายและกำลังที่ส่งมายังล้อคู่หน้า นวัตกรรมทางเทคโนโลยี่อื่น ยังมีอีกมากมายอาทิ ระบบตรวจวัดแรงดันลมยาง, ระบบเบรก ABS และการใช้ล้อแมกนีเซียมอัลลอยขนาด 17 นิ้วที่เป็นระบบล๊อกดุมล้อกลาง เป็นต้น

องค์ประกอบที่ทำให้ระบบป้องกันล้อล๊อคขณะเบรกมีความสมบูรณ์มั่นใจในการใช้งานสูงสุดเป็นชุดเบรกที่มีขนาดใหญที่สุดเท่าที่ Porsche เคยติดตั้งกับรถยนต์แบบโปรดักชั่นประกอบด้วยจานดิสค์เบรกแบบมีช่องและรูระบายความร้อนขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 12.6 นิ้วที่ล้อคู่หน้าและขนาด 12.1 นิ้วที่ล้อคู่หลังพร้อมคาลิปเปอร์เบรกอลูมิเนียมแบบ 4 สูบนอกจากนี้ยังมีระบบหมุนเวียนพร้อมวาล์วระบายแรงดันที่ล้อคู่หน้า, การสูบน้ำมันเบรกใหม่เข้าไปยังคาลิปเปอร์แต่ละตัวหลังการใช้งาน ซึ่งทั้งหมดเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ 959 เป็นสปอร์ตคูเป้ที่ยอดเยี่ยมสำหรับการใช้งานในทุกสภาพกาลอากาศและแตกต่างไปจาก 911 ทั่วไป

เมื่อ 959 พร้อมสำหรับการเปิดรับใบจอง มีระดับชั้นการตกแต่งให้เลือก 2 ระดับเป็น Comfort กับ Sport โดยที่ Comfort เป็นระดับการตกแต่งสำหรับการใช้งานทั่วไปส่วน Sport มีจำนวน 29 คันสำหรับใช้งานในเกมมอเตอร์สปอร์ตโดยเฉพาะ โดยรุ่น Sport มีน้ำหนักตัวที่เบากว่า 100 กิโลกรัมมาพร้อมกับการตกแต่งภายในห้องโดยสารด้วยผ้า 3 สี, เข็มขัดนิรภัยแบบรัด 4 จุด, พวงมาลัย Porsche ‘S’ และโครงนิรภัยหุ้มหนังรวมไปถึงการถอดระบบปรับอากาศ, กลไลการทำงานของกระจกหน้าต่างไฟฟ้า, เบาะนั่งด้านหลังและระบบกันสะเทือนแบบปรับได้ถูกถอดไป ในทางตรงกันข้ามรุ่น Comfort มาพร้อมกับความสะดวกสบายสูงสุดรวมถึงการตกแต่งด้วยหนังที่ช่วยเพิ่มเติมความหรูหรางดงามและระบบทำความร้อนเบาะที่นั่ง เป็นต้น

FAME GAME

สำหรับ 959 ราคาค่าตัวที่ตั้งไว้แต่แรกเลยอยู่ที่ DM420,000 (ประมาณ £150,000 หรือ $225,000) แต่เมื่อเริ่มเดินสายการผลิตจริงราคาดังกล่าวปรับเพิ่มสูงขึ้นเป็น DM560,000 ซึ่งราคาดังกล่าวไม่ได้สร้างความลังเลใจให้กับนักสะสมแม้แต่น้อย สปอร์ตคูเป้ที่อัดแน่นด้วยเทคโนโลยี่ที่ก้าวหน้าถูกจำหน่ายไปยังลูกค้าที่เป็นขาประจำของ Porsche และเหล่าผู้มีชื่อเสียงในแวดวงสังคมชั้นสูงอย่างรวดเร็วซึ่งลูกค้าที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดีมีอาทินักเทนนิสชื่อดัง Martina Navratilova และ Don Johnson นักแสดงชื่อดังเป็นต้น

ที่น่าแปลกใจมากขึ้นเห็นจะได้แก่ราคาป้ายของ 959 ตามที่มีการรายงานไว้นั้นเป็นราคาที่เป็นเพียงครึ่งหนึ่งของค่าใช้จ่ายที่ Porsche ต้องจ่ายไปในการพัฒนาและสร้างรถแต่ละคัน รายจ่ายที่สำคัญอยู่ที่เงินที่ต้องจ่ายไปจำนวน $10,000 สำหรับชุดบริหารจัดการการทำงานของเครื่องยนต์แบบดิจิตอลของรถแต่ละคัน โดยรวมแล้วงบประมาณทั้งหมดที่ Porsche เสียไปสำหรับการพัฒนา 959 อยู่ที่ประมาณ DM100,000,00 ซึ่ง Helmuth Bott เรียกเจ้าซูเปอร์สตาร์ขับเคลื่อน 4 ล้อรุ่นนี้ว่า ‘the most expensive promotional giveaway in Porsche history’ ดังนั้นจึงไม่น่าตระหนกตกใจอะไร เมื่อ Porsche ประสบกับปัญหาสภาพคล่องทางการเงินอันเป็นผลมาจากค่าเงิน US ดอลล่าร์ในปี 1987 Porsche 959 จึงเป็นส่วนหนึ่งที่ได้รับการยกฐานะให้เป็นแพะรับบาปไปด้วย

ทั้งนี้ตัวถังทั้งหมดของ 959 ไม่ได้ผลิตขึ้นโดย Porsche แต่เป็นผลงานของผู้ผลิตตัวถังในท้องถิ่น Baur โดยผู้ตรวจสอบจาก Zuffenhausen จะทำหน้าที่ตรวจสอบเมื่อการผลิตตัวถังทั้งหมดเสร็จเรียบร้อยซึ่งการผลิตชิ้นส่วนตัวถังเป็นงานที่ทำขึ้นด้วยมือโดยใช้เวลาประมาณ 1,600 ชั่วโมงต่อการผลิตตัวถังรถแต่ละคันโดยจะมี 959 เพียง 252 คันที่ผลิตขึ้นโดย Baur แต่หากรวมรถยนต์ต้นแบบอีก 37 คันและรถยนต์ที่ผลิตขึ้นก่อนผลิตจำหน่ายจริงด้วยแล้วจะมีจำนวนรวมทั้งสิ้น 337 คัน อย่างไรก็ตามเรื่องราวของ 959 ยังไม่สิ้นสุดเพียงเท่านี้

ถึงแม้ว่าสปอร์ตคูเป้โมเดลนี้จะยุติสายการผลิตอย่างเป็นทางการในปี 1988 แต่ก็ยังมี 959 อีกจำนวนหนึ่งที่ถูกประกอบขึ้นใหม่ระหว่างปี 1992 และ 1993 โดยเป็นการนำชิ้นส่วนอะไหล่ที่มีอยู่ที่ Zuffenhausen มาใช้ในการประกอบซึ่งรถเหล่านี้ถูกจัดอยู่ในจำพวกของ 959 ที่เป็นที่ต้องการมากที่สุดของนักสะสมโดยสีตัวรถเหล่านี้จะเป็นสีแดงหรือสีเงิน ทั้งนี้ราคาที่เสนอขายอยู่ที่ DM747,500

ไม่บ่อยครั้งนักที่ตลาดรถสปอร์ตในสหรัฐอเมริกาไม่ได้ถูกตั้งให้เป็นตลาดหลักของ Porsche โดยเฉพาะกับ Porsche 959 โมเดลนี้โดยมีเพียง 50 คันเท่านั้นที่ได้รับการสั่งจองจากลูกค้าชาวอเมริกัน ซึ่งเรื่องราวที่เกิดขึ้นคือหน่วยงาน ทางด้านการขนส่งของสหรัฐอเมริกาต้องการได้รถตัวอย่าง 4 คันเพื่อนำมาใช้ในการทดสอบการชนปะทะแต่เนื่องจาก 959 ผลิตขึ้นในจำนวนจำกัดรวมถึงต้นทุนในการผลิตที่สูงทำให้ความต้องการนี้ไม่ได้รับการสนองตอบซึ่งนั่นหมายถึงว่าทาง National Highway Traffic Safety Administration ของสหรัฐอเมริกาไม่สามารถให้การรับรองในเรื่องของความปลอดภัยในการใช้งานรถยนต์โมเดลนี้ได้

เป็นไปได้ว่างานวิศวกรรมยานยนต์ที่ยอดเยี่ยมเป็นอมตะนิรันดร์กาลของ Porsche โมเดลนี้มีส่วนสำคัญที่ทำให้ 911 ถูกปรับเปลี่ยนให้เป็นสปอร์ตคาร์ระดับซูเปอร์คาร์ ขณะที่สปอร์ตคูเป้ที่มีที่มาจากการแข่งขันในประเภท Group B ที่มีการจำกัดจำนวนการผลิตและราคาจำหน่ายที่สูงลิ่วอย่างต่อเนื่องทำให้ตัวมันเองกลายเป็นของล้ำค่าที่ยากจะเอื้อมถึงสำหรับบุคคลทั่วไปแต่สำหรับผู้ที่ลุ่มหลงในแบรนด์สปอร์ตคาร์ชื่อดังระดับตำนานแห่ง Stuttgard อาจมีจุดเริ่มต้นด้วย 964 ซึ่งเป็นทายาทความสำเร็จของ 959 แทนยังไม่ต้องกล่าวถึงอิทธิพลของ 959 ที่มีผลต่อการออกแบบและพัฒนาการของสปอร์ตคาร์ยุคใหม่ในปัจจุบันเกือบจะทุกโมเดล Porsche ที่ทรงพลานุภาพนี้เป็นผู้บุกเบิกเทคโนโลยี่ที่แท้จริงรวมถึงการออกแบบที่ไม่ต้องคำนึงถึงค่าใช้จ่ายและความเป็นเครื่องจักรกลที่ยอดเยี่ยมที่สุดในทุกสิ่งทุกอย่าง

959 อาจจะไม่ได้เป็นสัญลักษณ์สูงสุดในการแข่งขันมอเตอร์สปอร์ตแต่ 959 เป็นยนตรกรรมล้ำค่าที่หายากที่ได้รับความสำคัญอย่างยิ่งยวดในสิ่งที่สามารถจะทำได้เมื่อผู้ผลิตรถยนต์ให้ความสำคัญในการสร้างสรรค์สปอร์ตคาร์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลก โปรเจคท์ Gruppe B แสดงถึงความเป็นนวัตกรรมยานยนต์ที่ยอดเยี่ยมและระบบขับเคลื่อน 4 ล้อเป็นผลงานระดับมาสเตอร์พีซที่ได้รับการคิดค้นพัฒนาขึ้นด้วยเช่นกัน

 

TIRING  WORK

ลักษณะพิเศษของล้ออัลลอยแมกนีเซียมลาย 5 ก้านและรูปแบบของขอบล้อพร้อมกับยางติดรถของ 959 รุ่นผลิตจำหน่ายจริง การติดตั้งสวิทซ์ตรวจสอบแรงดันลมยางในล้อแต่ล้อซึ่งเมื่อรถเคลื่อนที่สวิทซ์เหล่านี้จะส่งสัญญาณมายังตัวควบคุมผ่านตัวถ่ายทอดสัญญาณความถี่สูง ซึ่งเป็นครั้งแรกที่มีการนำระบบนี้มาใช้กับรถยนต์ที่ผลิตเพื่อจำหน่ายทั่วไป

SPORT OF KINGS

ในปี 2003 นักแข่งรถชาวอเมริกัน Bruce Canepa ได้เริ่มต้นทำโปรแกรมอัพเกรด 959 เขาได้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นกับเทอร์โบชาร์จเจอร์, ระบบไอเสียและกล่อง ECU เพื่อที่จะให้ 959 สามารถใช้งานบนท้องถนนในสหรัฐอเมริกาได้อย่างถูกต้องนอกจากนี้เขายังได้เปิดตัวชุดแต่งสำหรับ 959 SC (Sport Canepa) ทั้ง 50 คันชุดแพ็คเกจนี้มีราคาสูงถึง 2 ล้านดอลล่าร์สหรัฐซึ่งเป็นราคาที่รวมราคาจำหน่ายของ 959 แล้ว

TRACK AND FIELD

959 อาจจะเป็นเพียงส่วนประกอบส่วนหนึ่งของการแข่งขัน Group B แต่ Porsche ก็ไม่ปล่อยให้การพัฒนาซูเปอร์คาร์โมเดลใหม่นี้สูญเปล่าไปเมื่อเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการแข่งขันรายการอื่น โดยหลังจากความสำเร็จของ 953 ในปี 1984 รถแข่ง 959 3 คันถูกส่งเข้าร่วมการแข่งขันแรลลี่หฤโหดปารีสดักการ์ที่มีระยะทางการแข่งขันรวมกว่า 10,000 กิโลเมตรในปี  1985 (ภาพด้านซ้าย) โชคไม่ดีที่ไม่สามารถผ่านเข้าสู่เส้นชัยได้อย่างไรก็ตามความสำเร็จก็ตามมาภายในปีเดียวกันนั้นเองทีมแข่งของ Saeed Al Haijri ที่ใช้รถแข่ง 959 ชนะการแข่งขันแรลลี่รายการ Rally of the Pharoahs ที่มีระยะทางการแข่งขันรวม 4,000 กิโลเมตร ตำนานความสำเร็จของ 959 ถูกตอกย้ำอีกครั้งในปี 1986 เมื่อสามารถคว้าชัยชนะในอันดับที่ 1 และ 2 ในการแข่งขันรายการเดียวกันขณะที่รถแข่งคันที่ 3 ที่ถูกใช้เป็นรถเซอร์วิสเคลื่อนที่ด้วยจบการแข่งขันในอันดับที่ 6 ทั้งนี้เครื่องยนต์ของรถแข่งแต่ละคันถูกปรับลดพละกำลังแรงม้าลงเหลือประมาณ 400 แรงม้าเพื่อให้สามารถใช้งานร่วมกับน้ำมันคุณภาพต่ำได้ รถแข่งที่ใช้ 959 เป็นพื้นฐานมีชื่อรุ่นว่า 961 ถูกส่งเข้าร่วมการแข่งขัน Le Mans ในปี 1986 ซึ่งจบการแข่งขันด้วยชัยชนะในรุ่น IMSA/GSX และอันดับที่ 7 โอเวอร์ออล ในปีต่อมาเมื่อไม่สามารถแข่งขันจนจบการแข่งขันที่ Sarthe เป็นอันจบฉากชีวิตในสังเวียนการแข่งขันของ 959 อย่างไรก็ตาม 959 เป็นรถยนต์เพียงโมเดลเดียวที่คว้าชัยชนะได้ทั้งจากแข่งขันรายการปารีสดักการ์และ Le Mans

Share

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *