THE FINAL FLING

                Porsche เครื่องยนต์วางหน้ารุ่นสุดท้ายก่อนการมาถึงของ Cayenne โมเดล 968 เปิดตัวพร้อมนิยาม “The Next Evolution”—ก้าวใหม่ของวิวัฒนาการ เพื่อพิสูจน์ว่าไม่มีใครแก่เกินกว่าจะเรียนรู้สิ่งใหม่…

                ระหว่างที่ Porsche 944 กำลังเดินหน้ากอบโกยความสำเร็จ และกระแสตอบรับที่ดีของรุ่น S2 ที่ถูกส่งออกมาในปี 1989 หัวหน้าใหญ่ทางฝั่งโรงงานเริ่มวางแผนเพื่อพัฒนาโมเดลที่จะพาพวกเขาก้าวไปไกลกว่าเดิม โดยเจเนอเรชั่นต่อจาก 944 ถูกกำหนดให้มาพร้อมสมรรถนะของ S3

แต่ขอบเขตของการเปลี่ยนแปลงถูกขยายวงกว้างจนผลลัพธ์ที่ออกมากลายเป็นรถยนต์ Porsche ที่มีความใหม่อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ด้วยความคิดที่แน่วแน่ทำให้พวกเขาตัดสินใจก้าวเดินตามเส้นทางใหม่ที่เลือก และสุดท้ายกลายเป็นโมเดลที่สดใหม่ พร้อมการถือกำเนิดของโปรแกรมพัฒนาภายใต้รหัส 968  

การเปิดตัวในเดือนสิงหาคม 1991 เพื่อขายในฐานะโมเดลปี 1992 รถสปอร์ตคูเป้จากซูฟเฟ่นเฮาเซ่น ถูกผสมผสานด้วยชิ้นส่วนใหม่เกือบ 80 เปอร์เซ็นต์ และองค์ประกอบการดีไซน์ที่พัฒนาขึ้นจากรุ่นก่อนหน้า แต่ถึงอย่างนั้นมีการย้อนกลับสู่สไตล์ของรุ่น 924 ในปี 1976 ที่สามารถเห็นได้อย่างชัดเจน — ทั้งโครงสร้างตัวถัง และเส้นสายบริเวณขอบกระจก โดย 968 จะมีความโค้งบริเวณซุ้มล้อสูงขึ้นเพื่อถูกจดจำในฐานะรถยนต์ Porsche ที่ติดตั้งระบบเพลาส่งกำลังแบบ Transaxle รวมถึงความพยายามในการสร้าง ‘ความเป็นครอบครัว’ ระหว่างโมเดลอื่นๆ ที่ถูกผลิตในช่วงเข้าสู่ทศวรรษ 1990 อย่างไรก็ตามผู้ผลิตที่พวกเราชื่นชอบ พอใจกับการสร้างโมเดลใหม่ที่ใช้แนวทางของ 928 อย่างชัดเจนตั้งแต่ไฟหน้าแบบ Pop-up และรูปทรงที่คล้ายกบกระโดดยังถูกเก็บเอาไว้

SMOOTH STYLE

ด้านท้ายที่มีขนาดกว้างใน 944 ยังคงถูกเก็บเอาไว้ แต่ปรับดีไซน์กันชนท้ายให้มีความลงตัวมากขึ้น, เพิ่มเส้นสายที่มีความกลมกลืน และใส่ความโค้งมนให้ตัวรถ รูปแบบของปีกหลังได้รับการเลือกอย่างพิถีพิถัน เช่นเดียวกับด้ามจับประตู และกระจกที่บรรดาแฟน 911 รหัสตัวถัง 933 คุ้นเคยเป็นอย่างดี (แต่พวกเขานำมาใช้ครั้งแรกกับ 968 ก่อนหน้ารถระบบระบายความร้อนด้วยอากาศรุ่นสุดท้าย นั้นคือความจริงนะ ทุกคน!) รวมทั้งติดตั้งเสาอากาศ Fuba ที่แหลมขึ้นมาเหมือน ‘เหล็กในของผึ้ง’ สลักตัวอักษร Porsche ตรงกลางระหว่างฝาครอบไฟท้ายสีแดงทั้งชุด เหนือขึ้นไปด้านบนติดตั้งเลข 968 ชื่อรุ่นที่เป็นรหัสเฉพาะตัวของค่ายนี้

แต่เรื่องสำคัญที่คุณต้องไม่พลาด —ยนตรกรรมสปอร์ตใหม่ของ Porsche คันนี้สามารถเร่งความเร็วจากจุดหยุดนิ่งสู่ 100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 6.5 วินาที ซึ่งต้องขอบคุณขุมกำลัง 4 สูบ 16 วาล์วจาก 944 ที่ได้รับการอัพเกรดจนมีความจุกระบอกสูบเพิ่มเป็น 2,990 ซีซี ตัวเลขพละกำลังสูงสุดอยู่ที่ 240 แรงม้า ในมาตรฐานปกติที่ได้รับการปรับแต่ง การติดตั้งระบบท่อไอเสีย และชุดกรองอากาศใหม่ทำให้เครื่องยนต์ที่ทรงพลังหายใจสะดวกขึ้น รวมทั้งการปรับปรุงระบบควบคุมอิเล็กทรอนิกส์ การใช้ Dual-mass Flywheel ช่วยเพิ่มสมรรถนะในรุ่นพื้นฐานให้มีการขับที่ยอดเยี่ยมสุดๆ

อีกข่าวสำคัญที่สร้างความกังวลอยู่พอสมควรเป็นการแนะนำ VarioCam Variable Valve Timing ระบบวาล์วแปรผันใหม่ของ Porsche มาใช้งานครั้งแรกใน 968 ตอนนั้นบางกระแสเชื่อว่าความเปลี่ยนแปลงนี้ จะเป็นการกำหนดนิยามใหม่ของ 993 แต่การนำมาใช้งานกับเครื่องยนต์รหัส M44/43 ของ 968 ระบบ VarioCam จะเริ่มทำงานตั้งแต่ 1,500 รอบ/นาทีไปจนถึง 5,500 รอบ/นาที ช่วยสร้างแรงบิดสูงสุด 225 ฟุต-ปอนด์ที่ 4,1000 รอบ/นาที ถือเป็นโมเดลเครื่องยนต์แบบ 4 สูบรุ่นสุดท้ายของ Porsche จนกระทั่งการเปิดตัว Boxster รหัส 718 ในปี 2016 ทำให้ 968 กลายเป็นที่สุดทั้งด้านพละกำลัง และเทคโนโลยีลงตัวกับรูปลักษณ์ที่ปราดเปรียวของรถ

เกียร์บล็อกใหม่ 6 สปีด ปรับอัตราทดให้มีประสิทธิภาพสูงกว่าระบบเกียร์ของ 944 ที่กำลังจะกลายเป็นอดีต ส่วนพวกที่ไม่ได้อนุรักษ์นิยมชื่นชอบความเร้าใจเวลาสับเกียร์ด้วยตัวเองจะได้ระบบเกียร์อัตโนมัติ Tiptronic อายุ 3 ปีมาเป็นทางเลือก อุปกรณ์ที่คุ้นเคยหลายชิ้นยังคงอยู่จากการที่รับช่วงโครงสร้างตัวถังจาก 944 S2 โดยหนึ่งในสิ่งที่สามารถสืบประวัติย้อนกลับไปสู่การแนะนำ 944 Turbo ที่เป็นเหมือนการยกระดับจาก 944 รุ่นมาตรฐาน คือการติดตั้งเบรก Brembo Four-pot Calipers พร้อมการพัฒนาระบบช่วงล่างที่มีอลูมิเนียมเป็นส่วนประกอบ จนพอจะยอมรับได้กับน้ำหนักรถเปล่าที่ลดลงมาเหลือ 1,370 กิโลกรัม

TRADING PLACES

                การผลิตเปลี่ยนจากโรงงานของ Audi ในเมืองเนซคาร์ซุลม์ ที่ถูกใช้ประกอบ 944 มาเป็นโรงงาน Porsche ที่ซูฟเฟ่นเฮาเซ่น ด้วยความเป็นครอบครัวเดียวกับ 944 ทำให้ 968 จะมีตัวเลือกทั้งรุ่นหลังคาแข็ง Hard-top Coupe และเปิดประทุน Convertible แต่มีความแตกต่างกับ 944 จากการที่ระบบเพลาส่งกำลังใหม่ Transaxle ช่วยลดความรู้สึก ‘งุ่มง่าม’ เวลาเปิดหลังคาออก ด้วยรูปทรงของรถที่มีความปราดเปรียวมากขึ้น และการเลือกตำแหน่งเก็บผ้าใบหลังคาอย่างรอบคอบ จนสร้างเซอร์ไพรส์ให้บรรดานักข่าวรถยนต์ยุคนั้นที่ประสิทธิภาพไม่ได้ถูกลดทอนลงหากเทียบกับรุ่น Coupe ที่สำคัญพวกเขายังกล้าพอจะทำให้อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. เท่ากันที่ 6.5 วินาที สำหรับคนที่ต้องการ 968 มีหลังคาปิดด้านบนเพื่อความปลอดภัย

ล็อตแรกของยนตรกรรมสปอร์ตความเร็วสูงจาก Porsche ขึ้นสู่ฝั่งประเทศอังกฤษ ในเดือนพฤษภาคม 1992 โดยการตบแต่งห้องโดยสารของทั้งรุ่นหลังคาผ้าใบ และหลังคาแข็งเกือบจะ ‘ยกชุด’ มาจาก 944 แต่ไม่ว่าจะอย่างไร – สิ่งสำคัญคือสมรรถนะที่ถูกนำเสนอออกไป และหากมีใครพูดใส่หน้าว่าพวก Porsche กำลังนำเสนอ ‘ของเก่า รถเดิมๆ’ บอกเลยว่ากำลังคิดผิดมหันต์ ด้วยคำยืนยันจากทีมงานนิตยสาร Autocar ที่ประกาศยกให้ 968 เป็น “รถยนต์ที่มีการควบคุมที่ดีที่สุดของโลก” ในขณะที่ Car แสดงความเห็นที่ทำให้เกิดการโต้เถียงมากยิ่งขึ้น “ไม่เคยมีรถเครื่องยนต์วางหน้าที่ใช้ระบบขับเคลื่อนล้อหลัง มีบาลานซ์ที่ยอดเยี่ยมกว่า 944 Turbo แต่ตอนนี้ 968 ทำได้ในระดับเดียวกัน เร็ว, มั่นใจ และความคล่องตัว โดยสามารถสร้างความสนุกยิ่งขึ้นไปอีกหากคุณได้ขับบนเส้นทางที่คดเคี้ยว” ทุกข้อสงสัยจบลงอย่างสิ้นเชิง Porsche ทำให้สิ่งที่เป็นไปไม่ได้เกิดขึ้น – ด้วยการนำพื้นฐานของ 944 (โมเดลที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดของผู้ผลิตรถยนต์จากสตุ๊ตการ์ทจนกระทั่งการมาถึงของ Boxster) มาใช้พัฒนาโมเดลใหม่ จนได้รับเสียงชื่นชมจากบรรดานักข่าวสายรถยนต์ชั้นนำ กลายเป็นการรับประกันความสำเร็จด้านยอดขายล่วงหน้าอีกทางหนึ่ง

ในขณะเดียวกันมีลูกค้าเพียงไม่กี่รายที่ต้องการ 968 รุ่นมาตรฐาน ความสนใจส่วนใหญ่พุ่งเป้าสู่การเฝ้ารอเวอร์ชั่นสมรรถนะสูงที่ติดตราสัญลักษณ์จากสตุ๊ตการ์ท จนกลายเป็นที่มาของรถที่ถูกลดทอนน้ำหนักลง 968 Club Sport ในปี 1992 โดยหยิบยืมชื่อมาจากโมเดลตัวโหดของ Porsche ก่อนหน้านี้ ใส่ความทันสมัย เพิ่มการปรับแต่งเพื่อสามารถขับในสนามแข่งที่จะเป็นการสร้างประสบการณ์ที่พิเศษ โดยต้องขอบคุณการเปลี่ยนอุปกรณ์หรูหราที่เป็นมาตรฐานออกไป รวมถึงวัสดุเก็บเสียงที่ทำให้น้ำหนักรวมลดลงเหลือ 1,320 กิโลกรัม แสดงให้เห็นถึงแนวทางที่ชัดเจนของ Club Sport โทนสีตัวถังมีให้เลือกจำกัดแต่คัดมาเฉพาะที่พิเศษสุด รวมถึงล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว ถูกกำหนดให้ใช้รหัสสีเดียวกับตัวถัง และต้องขอบคุณระบบช่วงล่างที่ต่ำลง 20 มม. ทำให้ติดตั้งยางซีรีส์ 225 เข้ากับซุ้มล้อได้อย่างพอดิบพอดี

หัวใจหลักของ Club Sport ยังถูกถ่ายทอดสู่การตบแต่งภายในห้องโดยสาร มือหมุนกระจกถูกนำมาใช้งานแทนสวิตช์ไฟฟ้า เบาะนั่งน้ำหนักเบาของ Recaro แบบปรับมือพร้อมทำสีด้านหลังของเบาะเหมือนตัวถังรถ พวงมาลัยแบบ 3 ก้านสไตล์รถแข่งที่ไร้ถุงลมนิรภัย ความพยายามในการลดน้ำหนักรวมถึงการโละเบาะนั่งด้านหลังในรุ่น 968 Coupe ออกไป รวมถึงการเลือกใช้แบตเตอรี่ขนาดเล็ก และการเดินสายไฟ “เฉพาะที่จำเป็น” เท่านั้น จนทำให้ 968 กลายเป็นเหมือนอสูรร้ายที่ไม่ได้เพียงเป็นรถที่มีความเร็วบนถนน แต่พร้อมจะรับคำท้าทายในสนามแข่ง ความยอดเยี่ยมทั้งหมดถูกประกาศสู่ชาวโลกด้วยรูปลักษณ์ของโมเดลรถสปอร์ตขนาดใหญ่ที่สามารถเร่งความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลา 6.2 วินาที ความเร็วสูงสุดที่ระบุเอาไว้อยู่ที่ 252 กม./ชม. โดยเครื่องยนต์รหัส M220 พร้อมออปชั่นติดตั้งระบบล็อกเฟืองท้าย Limited-slip Differential เพื่อความมั่นใจว่าฝูงม้าทั้ง 240 ตัวที่อยู่ใน Club Sport พร้อมจะพุ่งทะยายออกไปในทันที ไม่ว่าสภาพพื้นถนนของจุดหมายที่รถคันนี้กำลังมุ่งสู่จะเป็นแบบใดก็ตาม 

EARNING RESPECT

ไม่ได้แตกต่างจาก 968 รุ่นมาตรฐาน การมาถึงของ Club Sport ได้รับเสียงชื่นชมอย่างล้นหลามหลังจากสื่อสายรถยนต์ได้มีโอกาสขับทดสอบจริง พร้อมรับตำแหน่งรถยนต์ที่มีสมรรถนะยอดเยี่ยมแห่งปีจาก Performance Car เรื่องเดียวที่ถูกตำหนิ คงเป็นการที่ Porsche ไม่อาจผลิตรถให้ทุกคนที่ต้องการสัมผัสความสนุกนี้ 968 เวอร์ชั่นไลท์เวตทำตลาดเฉพาะในสหราชอาณาจักร, ออสเตรเลีย, ยุโรป และญี่ปุ่น โดยคันแรกออกจากสายการผลิตในเดือนมกราคม 1993 ด้วยราคาที่ต่ำกว่า 968 ที่ขายอยู่ในตอนนั้น 7,000 ปอนด์ (ราว 285,000 บาท) — และในปี 1994 ใครที่อยากเป็นสมาชิก Club Sport จะต้องควักเงินราว 29,975 ปอนด์ (ราว 1.21 ล้านบาท)

จากการต้อนรับรุ่นรีดน้ำหนักของ 968 ทำให้มีการเพิ่ม 968 Sport ออกขายแบบเอ็กซ์คลูซีฟเฉพาะสหราชาอาณาจักร ในช่วงปี 1994-1995 โดยเป็นการคืนความสะดวกสบายที่หายไปจาก Club Sport ตั้งราคาขายที่ 32,995 ปอนด์ (ราว 1.34 ล้านบาท) ถูกกว่ารุ่นปกติราว 5,500 ปอนด์ (ราว 223,000 บาท)

อุปกรณ์ที่ถูกเติมเข้ามาในรุ่น Sport จะมีระบบเซ็นทรัลล็อก, เบาะหนังที่มีความนุ่มสบาย, กระจกไฟฟ้า และพื้นที่ด้านหลัง ด้วยความปราดเปรียวหรูหราที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวทำให้โมเดลนี้ได้รับความนิยมจนทำยอดขายแซงหน้า 968 รุ่นสแตนดาร์ดในอัตรา 7 ต่อ 1 คันที่ขายได้ แต่ถึงอย่างนั้นรุ่น Sport มีผู้ได้ครอบครองเพียง 306 คันเท่านั้น เนื่องจากยอดขายรวมที่ตกต่ำของ 968 จนทำให้ทุกวันนี้หากไม่ใช่ผู้ที่คลุกคลีกับ Porsche อย่างจริงจัง แทบจะไม่เคยรู้ว่ามีโมเดลนี้มาก่อนบนโลก!

ความมุ่งมั่นในการเติมแต่งความแรงให้ 968 ไม่ได้เป็นความพยายามครั้งสุดท้ายของ Porsche พร้อมระบบเพลาส่งกำลัง Transaxle ในช่วงทศวรรษ 1990 ความสำเร็จนี้ถูกส่งต่อสู่ 968 Turbo S ที่มีการผลิตจำนวนจำกัดเพียง 16 คันเท่านั้น โดยมีความแรงระดับรถแข่ง 305 แรงม้า สามารถสังเกตความแตกต่างได้จากฝากระโปรงหน้า NACA, ความดุดันของสปอย์เลอร์หน้า และปีกหลังที่สามารถปรับองศาได้ โดยใช้เครื่องยนต์ 3.0 ลิตร เหมือนกับ 944 S2 ที่จะเป็น SOCH 8 สูบ ที่มีการตอบสนองที่ยอดเยี่ยม จนทำให้ 968 Turbo S ต้องการเวลาแค่ 4.7 วินาที พุ่งทะยานจากจุดหยุดนิ่งสู่ความเร็ว 100 กม./ชม. ความเร็วสูงสุดเพิ่มเป็น 282 กม./ชม. มากกว่า Club Sport 29 กม./ชม.! โดยสามารถสร้างแรงบิดได้ดุจอสูรร้าย 370 ฟุต-ปอนด์ ทำให้มั่นใจได้ทุกครั้งที่กดคันเร่ง และถือเป็นจุดเริ่มต้นการพัฒนา 911 รหัสตัวถัง 996

FOUR OF A KIND

เพื่อสานต่อความยิ่งใหญ่ของรุ่น Turbo S แผนกวิจัย และพัฒนาของฝ่ายรถแข่ง Porsche Motorsport สร้างตัวแรง 968 Turbo RS ขึ้นมาพิเศษ 4 คัน เป็นเหมือนการแย่งความโดดเด่นของ Turbo S เพื่อผลิตให้ทีมแข่งที่เป็นลูกค้าของพวกเขา มีตัวเลือก 2 ระดับ รุ่นแรกเป็นเครื่องยนต์ 337 แรงม้า ถูกผลิตเพื่อเป็นไปตามข้อบังคับ และกฎการแข่งขันของรายการ ADAC GT Series ในประเทศเยอรมัน มีการเพิ่มวัสดุเพื่อให้รถมีน้ำหนักอย่างต่ำ 1,350 กิโลกรัม ตัวเลือกที่ 2 น้ำหนักลดลงมาเหลือ 1,212 กิโลกรัมตามสเป็กรถแข่งในรายการระดับนานาชาติ ติดตั้งเทอร์โบชาร์จเจอร์ KKK L41 เข้ามาช่วยเพิ่มกำลังเป็น 350 แรงม้า โดย Turbo RS ทั้ง 4 คัน มีสีตัวถังที่แตกต่างกัน (แดง, เหลือง, ดำ, ขาว) และเป็นที่ยอมรับของนักสะสมรถทั่วโลกว่าเป็น 968 ที่หายากที่สุดเท่าที่มีการผลิตออกมา

แต่เพื่อตอบสนองความต้องการของบรรดาแฟน Porsche สำนักแต่งรถ Fitzgerald Racing Services ในประเทศออสเตรเลีย จัดการนำ 968 มาอัพเกรดเป็น RS ในแบบของพวกเขา 4 คัน ด้วยการใช้ชิ้นส่วน RS จากโรงงาน และโครงสร้างตัวถังของ Club Sport มีราคาสูงกว่า 225,000 ดอลล่าร์ออสเตรเลีย (ราว 4.95 ล้านบาท) และสามารถเพิ่มออปชั่นตามความต้องการของลูกค้ากระเป๋าหนักที่ตัดสินใจซื้ออีกด้วย

นอกจากนี้ 968 พิสูจน์ให้เห็นว่าระบบเพลาส่งกำลัง Transaxle ของ Porsche ยังคงมีประสิทธิภาพที่ยอดเยี่ยมซ่อนอยู่อีกมากมาย แต่บนโลกใบนี้ไม่มีสิ่งใดคงอยู่ไปตลอด ช่วงเวลาเดียวกับที่ 928 GTS ยุติการผลิตในปี 1995 พวกเขาตัดสินใจอำลา 968 ด้วยจำนวนการผลิต 12,776 คัน (แบ่งเป็น Coupe 8,402 คัน, Drop-top 4,374 คัน)

แต่ยอดขายที่น้อยตอนนั้น ส่งผลให้ปัจจุบัน 968 กลายเป็นรถที่หายากยิ่งกว่า 944 เหมือนขุมทรัพย์ที่นักสะสมรถออกตามล่า เพื่อความภาคภูมิใจที่จะได้มีชื่อของตัวเองบันทึกลงในสมุดคู่มือประจำรถ จนทำให้ราคารถขายต่อของ 968 ในปัจจุบันถือว่าค่อนข้างดี (หากเป็นรุ่น Club Sport ที่มีสภาพดีๆ คุณอาจต้องทุ่มเงินระดับเดียวกับ 911 SC) แลกกับการสัมผัสสมรรถนะที่น่าประทับใจของ Porsche เครื่องยนต์วางหน้าที่ยอดเยี่ยมพร้อมการเป็น 1 ในครอบครัวรถสปอร์ตที่ติดตั้งระบบระบายความร้อนด้วยน้ำ

Share

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *