พูดคุยถึงเจ้า Porsche 356

อย่างที่หลายคนทราบกันว่ารถ Porsche รุ่น 356 ถือเป็นต้นกำเนิดของรถตระกูล Porsche แต่ความนิยมมของรุ่น 356 ในปัจจุบันสู้รุ่น 911 ไม่ได้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะหลายคนที่ได้ขับ 911 แล้วรู้สึกว่า Handling ดีกว่ารุ่น 356 โดยเฉพาะในช่วงที่รถอยู่ในระดับความเร็วสูง ซึ่งเจ้ารุ่น 356 นี้เป็นรถที่ผมอยากได้มานานแล้ว และบังเอิญเมื่อปลายปีที่แล้วผมเห็นคันนี้ขายอยู่ในโชว์รูมรถนำเข้า สภาพค่อนข้างดูดี จึงตัดสินใจซื้อเข้ามาอยู่ใน Collection ของผมเมื่อต้นปีที่ผ่านมา แต่ล้อหลังยังเบี้ยวๆอยู่  เพื่อนยังแซวว่ารถคลาสสิคก็เป็นแบบนี้ พอขับๆไปสักพักล้อก็จะกลับมาตรงเอง และตั้งแต่ซื้อมาผมแทบไม่ได้ขับเลย จึงไม่ค่อยได้พูดถึงคันนี้สักเท่าไหร่

แต่หลังจากได้รถมาแล้วก็ส่งให้ทีมงาน Powerlab ช่วยตรวจเช็คให้ ในส่วนของล้อหลังที่เบี้ยว แก้ไขโดยการปรับแคมเบอร์ของล้อให้เตี้ยลงเพื่อปรับองศาของมุมล้อกลับมาสวยและเข้ารูปขึ้นกว่าเดิม รวมทั้งเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องและของเหลวเพื่อให้รถพร้อมต่อการใช้งาน แต่สิ่งที่สะดุดในรถคันนี้คือ เมื่อตอนทดลองขับแล้วรู้สึกว่าเวลาเข้าออกห้องโดยสารไม่ค่อยเข้าที่เข้าทาง ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะเบาะสูงและพวงมาลัยค่อนข้างใหญ่ทำให้ระยะระหว่างพวงมาลัยกับตำแหน่งเบาะนั่งไม่ค่อยโอเคสำหรับผมสักเท่าไหร่ อีกทั้งคันนี้ไม่มีระบบไฟฟ้าสำหรับปรับระดับเบาะและพวงมาลัยเหมือนรถรุ่นใหม่ (ซึ่งเมื่อก่อนไม่เข้าใจว่าทำไมต้องมี Option ปรับระดับมากมายหลายทิศทางขนาดนี้ แต่ตอนนี้เข้าใจแล้ว)

หลังจากประสบกับความลำบากในการเข้าออกรถ ผมจึงศึกษาเพิ่มเติมในเวปไซต์ พบว่ามีอุปกรณ์ข้อต่อเพื่อยื่นระยะพวงมาลัยออกมาจากตำแหน่งเดิม และมีอุปกรณ์เกียร์แบบ Short Shift Kit เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพทำให้เราสามารถเข้าเกียร์ได้เร็วขึ้นเพราะระยะการ Shift เกียร์สั้นลง แต่ผมคิดว่ายังน่าจะทำให้ดีกว่านี้ได้อีก จึงศึกษาต่อไปก็พบว่ามีพวงมาลัยที่มี Dimension เล็กลงแต่ยังคงรูปลักษณ์และความรู้สึกของรถยุคนั้นอยู่ นอกจากนี้ ยังมีวิธีแก้ไขปัญหาระยะเบาะกับพวงมาลัยแบบง่ายๆ คือ เปลี่ยนฟองน้ำภายในเบาะให้เตี้ยลง ทำให้มีระยะห่างระหว่างขากับพวงมาลัยมากขึ้น (ก็ในเมื่อไม่มีระบบไฟฟ้ามาช่วยในการปรับระดับก็ต้องใช้ภูมิปัญญาของช่างไทยในการแก้ปัญหานี้ล่ะ)

เมื่อรถสามารถขับได้แล้ว ก็เริ่มขับไปเที่ยวกินกาแฟกับเพื่อนๆ ได้ขับไปถ่ายรูปและขับเล่นช่วงกลางคืน ได้รับรู้ความรู้สึกว่าคนสมัยก่อนเมื่อประมาณ 50-60 ปีที่แล้วขับรถแบบนี้แล้วรู้สึกอย่างไร ในส่วนของวงเลี้ยวพวงมาลัยรุ่นนี้ค่อนข้างกว้างต้องหมุนอยู่หลายรอบ ส่วนเวลาเบรคก็ไม่ค่อยอยู่ แต่ได้ช่วงล่างที่ค่อนข้างนุ่มมาก เครื่องยนต์ยังมีเสียงดังอยู่ ซึ่งเข้าใจว่ารถคันนี้ถูกจอดทิ้งไว้มานานหลายปีก็เปรียบเสมือนคนที่ไม่ได้ออกกำลังกายมานาน เราต้องให้เวลา ค่อยๆปรับซ่อมไปจนกว่าจะเข้าที่ เวลาขับคันนี้ไปไหนต้องขับเลนซ้ายสุดเพื่อไม่ให้เป็น Low block แต่โดยส่วนตัวแล้วผมไม่ชอบขับรถเร็วอยู่แล้ว ถ้าอยากไปไหนเร็วขึ้นจะแก้โดยออกจากบ้านให้เร็วขึ้น นอกจากนี้ รุ่นนี้ยังไม่มีระบบแอร์ภายในรถ ซึ่งเหตุผลน่าจะเป็นเพราะสมัยก่อนสภาพอากาศยังไม่ร้อนเท่าทุกวันนี้ รวมทั้ง รถรุ่นนี้ผลิตและส่วนใหญ่ขับใช้งานประเทศแถบยุโรปที่มีอากาศหนาวเกิน 8 เดือน นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ผมต้องขับออกเวลากลางคืน

แต่สิ่งที่ผมชื่นชอบคันนี้เป็นพิเศษอีกอย่าง นั่นคือ กระจกหูช้างของรถทั้งสองด้านสามารถดันเปิด-ปิดได้เหมือนบานหน้าต่างบ้าน โดยที่กระจกทำมุมประมาณ 60 องศา ทำให้เวลาที่ขับรถ หูช้างจะกวาดลมจากข้างนอกเข้ามาตรงที่นั่งคนขับได้อย่างพอดี แต่เนื่องจากการเข้าและออกเพื่อไปนั่งเบาะหลังค่อนข้างลำบาก อีกทั้งไม่มีแอร์ภายในรถ คงจะหาคนนั่งไปด้วยค่อนข้างยาก แต่อย่างไรก็ตาม โดยรวมแล้วผมรู้สึกสนุกและมีความสุขที่ได้ขับรถคันนี้

ระหว่างที่ผมกำลังเขียนคอลัมน์อยู่ รถคันนี้กำลังติดตั้งระบบแอร์อยู่ หลังจากทำเสร็จเรียบร้อยแล้วจะมาอัพเดตให้ทราบกันในฉบับต่อไป………


บทความโดย พอลล์ กาญจนพาสน์
นิตยสาร GTPORSCHE ฉบับที่ 42

Share

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *