996 GT3 RS : ดีเอ็นเอจากสนามแข่งสู่รถถนน     

ภาพลักษณ์แตกต่าง แต่ยังให้ฟีลลิ่งที่โหดดิบ เหมือนเป็นหนังภาคต่อจาก RS รุ่นก่อน

สัญลักษณ์ RS ที่ประทับอยู่บนรถปอร์เช่ อันมีที่มาจาก Renn Sport ในภาษาเยอรมัน หรือ Racing Sport ในภาษาอังกฤษ สื่อความหมายถึงคาแรคเตอร์ที่ชัดเจนของเวอร์ชั่นนี้ ที่มุ่งเน้นมาเพื่อการแข่งขัน ด้วยการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากสนามแข่งมาใส่ในรถถนน แม้ภายหลังจะมีการเอาคำว่า GT3 มาสานต่อเจตนารมณ์ แต่ชื่อของ “RS” ก็ยังถูกเรียกกลับมาใช้อีกครั้งใน 996 GT3 RS นั่นแสดงว่าต้องเป็นรุ่นที่พิเศษเหนือพิเศษขึ้นไปอีกขั้น

นี่คือสุดยอดของ 996 เป็น GT3 RS รุ่นแรกของปอร์เช่ ซึ่งเป็นรถที่หายาก เพราะผลิตมาเพียง 682 คัน และปรากฎความเด่นชัดในตัวตน มีเอกลักษณ์ที่แตกต่างชัดเจน รวมถึง เพอร์ฟอร์มานซ์ดิบๆ ในสไตล์ RS ที่หาไม่ได้ในรุ่นอื่น  คุณพีชวนินทร์ บัณฑิตกฤษดา  เล่าให้ฟังถึงความพิเศษในมุมองของนักสะสม ถึงหนึ่งในคอลเลกชั่นปอร์เช่สุดรักของเขา

GT3 RS คันนี้ เคยอยู่ที่อังกฤษโดยเจ้าของที่สะสมปอร์เช่ไว้เยอะมาก และก็เหมือนนักสะสมทั่วไปที่ยังไงก็อยากเก็บ RS อย่างน้อยหนึ่งคันเอาไว้ในคอลเลกชั่น แต่แล้ววันหนึ่งเขาก็ประกาศขายขึ้นมา ซึ่งไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ ทำให้คุณพีต้องรีบบินไปดูในทันที

ทันทีที่ไปถึงก็สัมผัสได้เลยว่ารถคันนี้ถูกเก็บรักษาอย่างดีจากคนรักปอร์เช่ตัวจริง และใช้เวลาดูอย่างละเอียดอยู่ถึง 2 วัน ในทุกจุดที่ต้องทำการตรวจเช็ค แม้อยู่ในซอกหลืบ จนมั่นใจว่าเป็นรถที่สวยจริงและที่สำคัญคือ ยังมีสภาพใหม่มาก จึงทำให้ตัดสินใจวางมัดจำในตอนนั้นได้ไม่ยากเลย แต่หลังจากนั้นไม่กี่วันก็เกิดเหตุที่ทำให้เกือบต้องกลับบ้านมือเปล่า เมื่อเจ้าของเก่าทำใจไม่ได้และเกิดเปลี่ยนใจไม่ขายแล้ว เลยต้องพูดคุยกันอีกพักใหญ่ จนสุดท้ายก็ได้มาเป็นเนื้อคู่กันระหว่าง สุดยอด 996 ท็อปโมเดล กับคุณพี ที่รักและมีความศรัทธาในรถปอร์เช่อย่างจริงจัง

สำหรับ GT3 RS เป็นความตั้งใจของปอร์เช่ ที่จะทำมาเป็นแทร็คคาร์จริงๆ คือไม่ต้องมีรถหลายคัน สามารถเอารถใช้งานขับเข้าแทร็คไปแข่งได้เลย คาแร็คเตอร์เลยเด่นชัดในเรื่องความโหด ความดิบ เป็นความรู้สึกที่นักซิ่งใฝ่ฝัน มากกว่าความสะดวกสบาย ที่ไม่สามารถหาได้ในรุ่นอื่นๆ ภายนอกมีชุด AERO KIT ที่เน้นตัวเบาด้วยการเปลี่ยนฝากระโปรงหน้า และสปอยเลอร์หลังเป็นวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์, กระจกบานหลังแทนที่ด้วยโพลีคาร์บอเนต ตัวถังถูกแต่งด้วยล้อแม็กและลายคาดบนตัวรถ ที่มีให้เลือก 2 เฉด คือ ฟ้าหรือแดง อันเป็นเอกลักษณ์ของรุ่นนี้ ภายในก็มีการตกแต่งด้วย ALCANTARA กับเบาะบักเก็ทซีทเย็บด้ายสีฟ้าหรือแดง ให้รับกับภายนอก และไม่มีที่นั่งสำหรับคนโดยสารในด้านหลัง โดยอุปกรณ์อำนวยความสะดวกทั้งแอร์ และชุดเครื่องเสียงมาเป็นออพชั่นที่สามารถเลือกได้ตอนซื้อรถว่าจะติดตั้งลงไปหรือไม่ (ถ้าคุณรักจะขับในแทร็คเอามันส์อย่างเดียวก็ไม่ต้องใส่มาให้มันหนัก) แต่โชคดีที่เจ้าของเก่าเลือกติดตั้งมาให้พร้อม ซึ่งก็เหมาะสมกับการใช้งานในประเทศไทยที่ร้อนระอุเหลือเกิน

GT3 RS มีน้ำหนักเบากว่า GT3 รุ่นปกติ 20 กิโลกรัม ซึ่งจริงๆ น่าจะลดลงไปได้มากกว่านี้ แต่ก็ถูกชดเชยด้วยชุดโรลเคจ 4 จุดที่เพิ่มเข้ามาเป็นมาตรฐานในครึ่งหลัง ช่วยเสริมความแข็งแรงให้กับโครงสร้างเพื่อความปลอดภัย และยังสามารถเลือกสั่งออพชั่น เพื่อเพิ่มโรลเคจในครึ่งหน้าให้เป็นแบบ 6 จุด พร้อมถังดับเพลิง ตาม HOLOMOGATION เรื่องความปลอดภัยที่การแข่งขันส่วนใหญ่บังคับใช้อีกด้วย

เครื่องยนต์ของ GT3 RS นั้นแทบจะเหมือนกับ GT3 ธรรมดาคือยังคงใช้เครื่องยนต์ 3.6 แต่มีการปรับแต่งช่องพอร์ททางเดินอากาศเล็กน้อย ซึ่งแม้ว่าโรงงานเคลมว่ามีแรงม้าเพิ่มเติมจากเดิมมาเพียง 4 ตัว เป็น 385 แรงม้า แต่ก็เชื่อได้ว่าตัวเลขที่เพิ่มขึ้นจากการปรับแต่งที่จุดดังกล่าวย่อมมีการตอบสนองของเครื่องยนต์ที่ดีกว่าเดิมจนรู้สึกได้ และ 996 เวอร์ชั่นที่เน้นเพอร์ฟอร์มานซ์อย่างแท้จริงอย่าง 996 Turbo, 996 GT3 และ 996 GT3 RS  ก็ไม่ลืมที่จะนำเอาระบบ Dry Sump มาใช้ โดยไม่พึ่งปั๊มน้ำมันเครื่องแบบกลไกที่ติดอยู่กับตัวเครื่องยนต์ แต่ใช้ปั๊มไฟฟ้าที่มีถังจุน้ำมันแยกต่างหาก โดยข้อดีของระบบนี้คือนอกจากช่วยลดภาระของกลไกที่จะไปต้านการหมุนของเครื่องยนต์แล้ว ยังลดความเสี่ยงปั๊มแตกจากการหมุนรอบสูง และสามารถรองรับแรง G ได้สูง โดยเมื่อเลี้ยวแรงๆ หรือออกตัวแรงๆ จนน้ำมันเครื่องที่อยู่ในเครื่อง เทไปอยู่ฝั่งใดฝั่งหนึ่ง ทำให้ปั๊มน้ำมันเครื่องกลไกอาจดูดน้ำมันจากอ่างน้ำมันเครื่องไม่ถึง ทำให้น้ำมันขาดช่วง และสร้างความเสียหายให้กับเครื่องยนต์ในที่สุด แต่พอเป็นระบบ DRY SUMP ที่ใช้การดูดน้ำมันจากจุดไหลที่ล่างสุดของถังพักน้ำมัน เพื่อไปหล่อลื่นชิ้นส่วนต่างๆของเครื่องยนต์ ยังไงก็ไม่ขาดช่วงแน่นอน

ระบบส่งกำลังใช้ single mass flywheel ที่มีน้ำหนักเบาจากชิ้นส่วนที่ลดออกไปทำให้หมุนรอบจัดได้อย่างราบลื่น และส่งกำลังโดยตรงให้อารมณ์แบบโหดๆ จับคู่กับเกียร์ 6 สปีด พร้อมเฟืองท้ายลิมิเต็ดสลิป กับการปรับเซ็ทช่วงล่างสไตล์เรซซิ่งด้วยสปริงค่า K ที่แข็งขึ้น และความสูงลดลงจากตัว GT3 ปกติ  30mm. ที่สำคัญสามารถปรับมุมล้อต่างๆ เพิ่มได้ตามสไตล์การขับขี่ของแต่ละคน แต่ละสนาม รวมถึงอัพเกรดระบบเบรกหน้าเป็นแบบ 6POT ด้วยเทคโนโลยี PCCB (Porsche Ceramic Composite Brakes) หรือเบรกเซรามิค ช่วยให้น้ำหนักของช่วงล่างเบาลง เมื่อน้ำหนักของช่วงล่างเบาลง ช่วงล่างก็เคลื่อนที่ได้เร็ว จึงตอบสนองได้ไว ทั้งหมดนี้ส่งผลให้เป็นรถที่มี HANDLING โดยรวมดี สมกับที่คุณพีบอกกับเราว่า “996 GT3 RS เป็นรถที่มีช่วงล่างสุดยอด การตอบสนองของพวงมาลัยไวมาก เบรกได้ลึกและสามารถออกจากโค้งได้เร็วตามสไตล์ของปอร์เช่ แค่ต้องรู้จักวิธีควบคุมเค้า

“996 GT3 RS แม้จะมีรูปลักษณ์ภายนอกที่แตกต่างกับ 964 RS ที่ผมมีอยู่ แต่ฟีลลิ่งตอนขับเหมือนเป็นรถคันเดียวกัน กลิ่นอายของความดิบในแบบ RS ปลุกเร้าการขับขี่แบบสปอร์ตบนถนน แต่เมื่อเอาไปลองขับในแทร็ค ก็รู้เลยว่านี่เป็นรถที่ปอร์เช่ทำมาเพื่อการขับในแทร็คอย่างแท้จริง

….กระจกบานหลังถูกแทนที่ด้วยโพลีคาร์บอเนตเพื่อลดน้ำหนัก ตรงจุดนี้ถ้าไม่ได้รับการดูแลอย่างดีจะเป็นรอยได้ง่ายมาก แต่สำหรับคันนี้ยังคงความใสเหมือนตอนที่ออกมาจากโรงงาน

……682 คัน ของ GT3 RS ที่ว่าหายากแล้ว คันนี้ทวีความพิเศษเข้าไปอีกด้วยการเป็นพวงมาลัยขวา

996 GT3 RS มีการปรับปรุงช่วงล่างด้วยการปรับมุม CAMBER ให้โหดหว่า GT3 ปกติ ซึ่งถ้ามีการใช้เครื่องมือวัดดูจะแสดงให้เห็นว่าล้อด้านบนจะหุบเข้าไปในซุ้มล้อ (CAMBER ลบ) มากกว่าปกติ  การเซ็ตติ้งแบบนี้สามารถเห็นได้ในรถแข่งทางเรียบทุกคัน เป็นการตั้งมุมล้อให้ด้านบนหุบไว้ และตอนที่อยู่ในโค้งความเร็วสูงนั้น น้ำหนักของรถทั้งหมดจะเทออกไปยังฝั่งด้านนอกของโค้ง หน้ายางที่เคยเอียงเข้าด้านในก็จะถูกดันกลับมาให้ตั้งตรง และมีพื้นที่ของยางและพื้นถนน(แทร็ค) เต็มหน้าสัมผัสมากขึ้น ทำให้รถเกาะอยู่ในโค้งได้โดยลดการลื่นไถลออกไป จึงสามารถทำความเร็วในโค้งได้ดี  แต่ถ้าเซ็ทให้ค่า CAMBER นี้ติดลบมากเกินไป ก็มีผลทำให้การส่งกำลังในทางตรงนั้นด้อยลงไป เพราะยางไม่สัมผัสเต็มหน้ายาง แรงเสียดทานก็น้อยลง ทำให้การยึดเกาะลดลง ในล้อขับเคลื่อนเวลาเร่งแรงๆ ก็ล้อฟรีได้ง่าย ไม่คุ้มกับยางหน้ากว้างที่ใส่มา 

Share

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *